วช.เผยงานวิจัย1 ปีน้ำมันดิบรั่วระยอง ความเสี่ยงทะเลไทยสูงต่อเนื่อง
สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ เผยงานวิจัยบทเรียนจากกรณีน้ำมันดิบรั่วลงทะเล จ.ระยอง เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 2556 ครบรอบ 1 ปี พบผลกระทบกับสิ่งมีชีวิตในทะเล แต่การศึกษาวิจัยยังต้องทำอย่างต่อเนื่อง คาดเหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย เพราะทะเลไทยเต็มไปด้วยเรือขนถ่ายน้ำมัน และผู้ที่เกี่ยวข้องยังขาดความรับผิดชอบ
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2557 สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ภายใต้ศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อม ร่วมกับสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย จัดงานเสวนา สรุปบทเรียนจากกรณีน้ำมันดิบรั่วลงทะเลที่ จ.ระยอง เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม ปี 2556 ภายในงานมีการเปิดเผยรายงานการประเมินตามหลักธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม ในการจัดการกับปัญหากรณีน้ำมันดิบรั่วขณะขนถ่ายผ่านทุ่นรับน้ำมันดิบมายังโรงกลั่นของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือพีทีทีจีซี (PTTGC) และมีการเปิดเผยงานวิจัยศึกษาผลกระทบต่อทรัพยากรและระบบนิเวศน์ในทะเลและชายฝั่ง
ดร.สมภพ รุ่งสุภา นักวิชาการสถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเปิดเผยผลการศึกษาระบุว่า ปริมาณปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอนในน้ำทะเลและตะกอนดิน (TPH) ในตะกอนดิน ที่อ่าวระยอง บริเวณรอบเกาะเสม็ดและชายหาดเกาะเสม็ดที่ระยะเวลา 1 เดือนและ 4 เดือนหลังเกิดเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่ว มีค่าสูงสุดที่ความลึกระดับ 0-3 ซม. ส่วนที่อ่าวน้อยหน่า และที่อ่าวพร้าวพบค่า TPH ที่ระดับ 3-6 เซ็นติเมตร
ทั้งนี้ ค่า TPH ในตะกอนดินอ่าวระยอง-รอบเกาะเสม็ดและชายหาดเกาะเสม็ดในกรอบเวลาที่ทำการวิจัย คือที่ 1 เดือนและ 4 เดือนหลังเกิดเหตุ พบว่า บริเวณอ่าวระยอง-รอบเกาะเสม็ด ค่า TPH ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยประมาณว่าช่วง 12 เดือนจะอยู่ในระดับ 1 ไมโครกรัม/กรัม ซึ่งน่าจะเป็นค่า TPH ปกติที่พบบริเวณนี้ แต่ชายหาดเกาะเสม็ดโดยเฉพาะอ่าวพร้าวกลับพบว่าในระดับ 0-3 ซม. มีค่า TPH เพิ่มขึ้น แต่ระดับ 3-6 ซม. มีค่า TPH ลดลง เป็นลักษณะที่ TPH ถูกกลบไว้ ก่อนจะค่อยละลายกลับขึ้นมาด้านบนผิวทราย ทำให้ไม่สามารถคำนวณการลดลงถึงระดับใกล้เคียงปกติได้ โดยผลการสำรวจในระยะ 1 เดือน และ 4 เดือน (สิงหาคม และ พฤศจิกายน 2556) หลังเกิดเหตุการน้ำมันดิบรั่ว พบว่าความเข้มข้นของปริมาณปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอนรวมในน้ำทะเล (ไมโครกรัม/ลิตร ) มีค่าเฉลี่ยเกินมาตรฐานในระยะ 1 เดือนแรก และลดลงต่ำจนอยู่ในระดับมาตรฐานในเวลา 4 เดือนหลังเกิดเหตุ
งานวิจัยของ ดร.สมภพ ระบุด้วยว่า ความเป็นพิษของ TPH ในตะกอนดิน หรือค่าความเข้มข้น TPH ในตะกอนดิน ที่ทำให้สิ่งมีชีวิตที่ใช้ทดสอบตาย 50% ในเวลาที่กำหนด จากรายงานต่างประเทศนั้น เฉลี่ยอยู่ที่ 10.750-36.000 (µg/g) ซึ่งค่าที่พบในการศึกษาครั้งนี้ เฉพาะบนชายหาดเกาะเสม็ดบางบริเวณ มีความใกล้เคียงค่าความเป็นพิษดังกล่าวของรายงานการศึกษาวิจัยในต่างประเทศ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการศึกษาวิจัยผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ส่วนการศึกษาในตะกอนดิน อาจตรวจสอบพร้อมกับน้ำทะเลได้ โดยเจาะสำรวจลงไปในพื้นท้องทะเลประมาณ 10 เซนติเมตร เพื่อตรวจสอบปริมาณปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอนตั้งแต่ผิวหน้าดินลงไปจนถึงระดับลึก ทุกระดับ 3 เซนติเมตร และช่วงเวลาที่เหมาะสมในการตรวจ คือ ควรตรวจทันทีที่ๆ เกิดเหตุ และตรวจอีกทุก 6 เดือนถึง 12 เดือนหลังเกิดเหตุ และควรสำรวจจำนวนจุดเก็บตัวอย่าง อย่างน้อย 10 จุดระหว่างจุดรั่วไหลในทะเลถึงปากคลองแกลง
ด้าน ผศ.ดร.ธรรมศักดิ์ ยีมิน อาจารย์ภาควิชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เปิดเผยงานวิจัยผลกระทบจากน้ำมันรั่วไหลต่อปะการัง พบว่าเกิดเหตุปะการังฟอกขาว ปะการังขับเมือกมากกว่าปกติ พบโรคปะการัง โดยปะการังส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบคือ ปะการังโขด (Porites lutea) บริเวณอ่าวพร้าวด้านทิศใต้ และอ่าวพร้าวด้านทิศเหนือ
ผศ.ดร. ธรรมศักดิ์ กล่าวว่ายอมรับว่า ปัญหาการฟอกขาว มีความเกี่ยวโยงกับเรื่องระบบนิเวศทางทะเล อุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้นและเกี่ยวพันกับสภาวะโลกร้อนด้วย
“เหตุการณ์ปะการังฟอกขาว เรื่องพวกนี้จะเกี่ยวกับเรื่องโลกร้อนด้วย อย่างกรณีปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง เกิดขึ้น 13 ปีก่อน ปัจจุบัน ปี 2557 อุณหภูมิที่สูงขึ้น ปะการังฟอกขาวจะถี่ขึ้น การศึกษาของเรา เราไปดูการปรับตัวของปะการัง การปรับตัวของธรรมชาติด้วยว่ามีมากแค่ไหน ปะการังฟอกขาว ไม่ใช่แค่เกิดขึ้นจากน้ำมันอย่างเดียว แต่เมื่อมีเหตุการณ์น้ำมันรั่วเกิดขึ้น เราก็ต้องศึกษาว่ามันเข้าไปเพื่มเติมระบบนิเวศน์ให้เสียหายมากขึ้นอย่างไร” ผศ.ดร.ธรรมศักดิ์ ระบุ
ด้าน ศ.สุภาวดี จุลละศร อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง กล่าวว่า เห็นสมควรให้มีการศึกษาความหลากหลายของสัตว์หน้าดินและปัจจัยสภาวะแวดล้อมในหาดอื่น ๆ ของเกาะเสม็ดด้วย เพื่อให้มีฐานข้อมูลเก็บไว้เปรียบเทียบในอนาคต
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ถามว่า มีนักวิชาการท่านใดศึกษาถึงผลกระทบที่เกิดกับสิ่งมีชีวิตในทะเล จากกรณีการใช้สารเคมีขจัดหรือสลายคราบน้ำมันในเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วที่ จ.ระยองบ้างหรือไม่ และจากสถิติของกรมเจ้าท่า ทะเลอ่าวไทยและอันดามัน มีเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไม่น้อยกว่า 200 ครั้งแล้ว แต่เหตุใด การรับมือกับปัญหา และการเยียวยาผลกระทบที่เกิดกับสิ่งแวดล้อมจึงยังไม่ได้รับการแก้ไข เพื่อให้รับมือกับปัญหาได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ
ผศ.ดร.มณฑล แก่นมณี อาจารย์คณะเทคโนโลยี การเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง กล่าวว่า กรณีเรื่องการศึกษาผลกระทบจากการใช้สารเคมีสลายคราบน้ำมัน ยอมรับว่าอยู่ในกรอบของการวิจัยด้วย แต่ยังเป็นเรื่องที่ต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาและเก็บข้อมูลอีกนาน และโดยส่วนตัวแล้วให้ความสนใจ เรื่องน้ำมันดิบรั่วที่เข้าไปอยู่ในสิ่งมีชีวิตด้วย แต่ขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับการศึกษาวิจัยและหาสาเหตุข้อเท็จจริง ว่าสิ่งมีชีวิตตายด้วยน้ำมันจริงๆ หรือไม่
ดร.ขวัญฤดี โชติชนาทวีวงศ์ ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวว่า การศึกษาเรื่องดังกล่าว แยกประเด็นเป็นเรื่องผลกระทบที่เกิดจากน้ำมัน และเรื่องสารสลายคราบน้ำมัน ซึ่งยอมรับว่า จากการศึกษาพบว่ามีผลกระทบเกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตระดับหนึ่ง แต่ยอมรับว่าต้องอาศัยการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่อง ในระยะยาว
ขณะที่ ดร.นิศากร โฆษิตรัตน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อม กล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีคำถามประเด็นว่าเหตุน้ำมันดิบรั่วในทะเลไทย เกิดมาหลายครั้งแล้ว ทำไมยังปล่อยให้เกิดมาอีกเรื่อยๆ ทำไมไม่ป้องกันได้ดีกว่านี้นั้น ตอบว่า เพราะทุกวันนี้ ทะเลไทยมีความเสี่ยงมีสูง ปัจจุบัน เรามีเรือขนถ่ายน้ำมันเยอะมาก เป็นความจริงที่ในอนาคตคงต้องมีปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นอีกแน่นอน เพราะทะเลเต็มไปด้วยความเสี่ยง
“และปัญหาส่วนใหญ่ที่เกิด เกิดจากคน ในเมื่อเรามีกิจกรรมเกี่ยวกับน้ำมันในทะเลเยอะขนาดนี้ ดังนั้น เราต้องเตรียมพร้อม และเทรนด์คนที่เกี่ยวข้องให้พร้อมรับผิดชอบ ปัญหาน้ำมันดิบรั่วลงทะเลที่เกิดขั้นแต่ละครั้ง ระดับความรุนแรงไม่เหมือนกัน มีระดับความเสี่ยงต่างกัน แต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้นแล้ว สิ่งแรกที่เราควรต้องตั้งคำถาม คือเราจะจัดการกับปัญหานี้ได้ยังไง” ดร.นิศากรระบุ
ขณะที่ศ.ดร.เผดิมศักดิ์ จารยะพันธุ์ ที่ปรึกษาสถาบันวิจัยทรัพยากรน้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวทิ้งท้ายว่าเหตุน้ำมันดิบรั่วที่ จ.ระยองนี้ คงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย และโดยส่วนตัวแล้ว หากน้ำมันกว่า 5 หมื่นลิตรไหลสู่ทะเล และมีการใช้สารกดทับ และสารสลายคราบน้ำมันอีก ย่อมเป็นไปไม่ได้ ที่จะไม่เกิดอะไรเลยกับสิ่งมีชีวิตในทะเล
ภาพประกอบจาก : www.manager.co.th และ www.google.co.th