ขัดแย้งหนักตั้ง"รศ."ราชมงคลล้านนา อนุ ก.พ.อ.ดึงเรื่องนาน4ปี กฤษฎีกาชี้ไม่มีอำนาจ
บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา จบข้อโต้แย้งเรื่อง อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) ในการรับทราบและพิจารณาเกี่ยวกับการแต่งตั้งให้บุคคลดำรงตำแหน่งทางวิชาการ
กรณีความขัดแย้ง ระหว่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ซึ่งอนุมัติแต่งตั้งผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดำรงตำแหน่ง รองศาสตราจารย์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ (ผลงานทางวิชาการในลักษณะอื่น) กับสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ตั้งแต่ปี 2555 โดยตลอด 4 ปี ทั้งสองหน่วยงานส่งหนังสือตอบกลับกันไปมาไม่ต่ำกว่า 4 ครั้ง จนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ที่ประชุมสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา มีมติให้ทำหนังสือหารือไปยังเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกานั้น
วันที่ 25 มีนาคม 2559 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาได้มีหนังสือ ถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อขอหารือประเด็นที่ สกอ. โดยคณะอนุกรรมการเกี่ยวกับตำแหน่งทางวิชาการฯ ยืนยัน ไม่รับทราบการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการ ของให้ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุนทรี รินทร์คำ ดำรงตำแหน่งรองศาสตราจารย์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์นั้น กรณีเช่นนี้ ก.พ.อ. ยังมีอำนาจพิจารณา และมีอำนาจที่จะไม่รับทราบได้หรือไม่ และถ้าไม่รับทราบจะมีผลอย่างไร เนื่องจากประกาศ ก.พ.อ. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 ข้อ 6.1.4 กำหนดว่า เมื่อคณะกรรมการพิจารณาตำแหน่งทางวิชาการพิจารณาความเห็นของคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิฯ แล้ว ให้นำเสนอต่อสภาสถาบันพิจารณาอนุมัติและให้อธิการบดีออกคำสั่งแต่งตั้ง และแจ้งให้ คณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) ทราบภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ออกคำสั่งแต่งตั้ง (มิใช่แจ้งให้ ก.พ.อ. พิจารณาหรืออนุมัติหรืออื่น ๆ อันเกี่ยวข้องกับการเห็นชอบหรือการอนุมัติ)
คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 8) ได้พิจารณาข้อหารือของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาแล้ว เห็นว่า การที่คณะอนุกรรมการเกี่ยวกับตำแหน่งทางวิชาการฯ ซึ่งทำหน้าที่แทน ก.พ.อ. มีมติยืนยันไม่รับทราบการแต่งตั้งผู้ช่วยศาสตราจารย์สุนทรีฯ ให้ดำรงตำแหน่งรองศาสตราจารย์ในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์แล้ว ก.พ.อ. ยังมีอำนาจพิจารณา และมีอำนาจที่จะไม่รับทราบได้หรือไม่ และหากไม่รับทราบจะมีผลอย่างไร นั้น โดยแยกพิจารณาได้เป็น 2 ประเด็น และมีความเห็น ในแต่ละประเด็น ดังต่อไปนี้
ประเด็นที่หนึ่ง เมื่อคณะอนุกรรมการเกี่ยวกับตำแหน่งทางวิชาการของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งทำหน้าที่แทน ก.พ.อ. มีมติยืนยันไม่รับทราบการแต่งตั้งผู้ช่วยศาสตราจารย์สุนทรีฯ ให้ดำรงตำแหน่งรองศาสตราจารย์ในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์แล้ว ก.พ.อ. ยังมีอำนาจพิจารณาหรือไม่ นั้น
เห็นว่า เมื่อมหาวิทยาลัยได้มีหนังสือแจ้งเรื่องการแต่งตั้งผู้ช่วยศาสตราจารย์สุนทรีฯ ให้ดำรงตำแหน่งรองศาสตราจารย์ในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ให้ก.พ.อ. ทราบ ต่อมาคณะอนุกรรมการเกี่ยวกับตำแหน่งทางวิชาการฯ ได้พิจารณาและมีมติไม่รับทราบการแต่งตั้งผู้ช่วยศาสตราจารย์สุนทรีฯ ให้ดำรงตำแหน่งรองศาสตราจารย์ในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ กรณีจึงไม่อาจมีมติไม่รับทราบได้ เนื่องจากการรับทราบเป็นข้อเท็จจริง จึงมิใช่เรื่องที่ต้องพิจารณา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการพิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว ย่อมถือว่าคณะอนุกรรมการเกี่ยวกับตำแหน่งทางวิชาการฯ ได้รับทราบแล้ว
ประเด็นที่สอง ก.พ.อ. มีอำนาจที่จะไม่รับทราบการแต่งตั้งผู้ช่วยศาสตราจารย์สุนทรีฯ ให้ดำรงตำแหน่งรองศาสตราจารย์ ได้หรือไม่ และหากไม่รับทราบจะมีผลอย่างไร นั้น
เห็นว่า เมื่อได้ให้ความเห็นในประเด็นที่หนึ่งแล้วว่า ก.พ.อ. หรือคณะอนุกรรมการเกี่ยวกับตำแหน่งทางวิชาการฯ ไม่อาจมีมติไม่รับทราบการแต่งตั้งดังกล่าวได้ จึงไม่จำต้องพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องอำนาจที่จะไม่รับทราบอีก และการใช้อำนาจไม่รับทราบจึงไม่มีผลในทางกฎหมายแต่อย่างใด
อนึ่ง คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 8 ) มีข้อสังเกตเพิ่มเติมด้วยว่า โดยที่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุนทรีฯ ได้รับคำสั่งแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้นในตำแหน่งรองศาสตราจารย์ โดยมีอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด และได้ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งรองศาสตราจารย์และได้รับเงินหรือผลประโยชน์ตอบแทนต่าง ๆ ในช่วงระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งมาโดยตลอด การได้รับเงินหรือผลประโยชน์ตอบแทนดังกล่าว จึงเป็นผลมาจากการปฏิบัติหน้าที่ให้แก่ทางราชการโดยสุจริต ดังนั้น ทางราชการย่อมไม่อาจเรียกเงินหรือผลประโยชน์ตอบแทนใด ๆ ที่จ่ายไปคืนจากผู้ช่วยศาสตราจารย์สุนทรีฯ ได้