- Home
- Isranews
- เกาะประเด็น
- "บิ๊กตู่" ย้ำ รัฐบาลจริงจังปราบโกงทุกรูปแบบ-เล็งตั้งกองทุนขจัดการทุจริต
"บิ๊กตู่" ย้ำ รัฐบาลจริงจังปราบโกงทุกรูปแบบ-เล็งตั้งกองทุนขจัดการทุจริต
บิ๊กตู่ ย้ำ รัฐบาลจริงจังลงโทษคนทุจริต ปราบโกงทุกรูปแบบ -เล็งตั้ง “กองทุนส่งเสริมธรรมาภิบาลและขจัดการทุจริต ดึงเงินกองสลากมาใช้
เมื่อเวลา 20.15 น.วันที่17ก.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการ "คืนความสุขให้คนในชาติ" ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
นายกฯกล่าวถึงเรื่องการต่อต้านการทุจริตถือเป็นวาระแห่งชาติที่รัฐบาล และ คสช. ให้ความสำคัญ เนื่องจากการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นปัญหาเรื้อรังของประเทศที่คอยทำลายสังคมไทยของเรา เป็นปัญหาที่สะท้อนถึงวิกฤตการณ์ด้านคุณธรรม จริยธรรมของคนในสังคม ส่งผลกระทบในทางลบในทุกแวดวง ทั้งราชการและเอกชนซึ่งการที่จะแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืนนั้น ต้องอาศัยการปลูกฝังจิตสำนึกและค่านิยมให้กับประชาชน โดยเฉพาะเยาวชน ให้ เห็นว่าการโกงเป็นเรื่องน่ารังเกียจ คนโกงต้องไม่มีที่ยืนในสังคม ไม่ยอมรับพฤติกรรมทุจริตคอร์รัปชันและการโกงทุกรูปแบบ
ผมเชื่อว่าการสร้างค่านิยมที่ถูกต้องนี้จะเป็นรากฐานสำคัญเพื่อทำให้เด็กเติบโตขึ้นเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ และเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชันที่ได้ผลที่สุด เมื่อเร็วๆ นี้ คณะดำเนินงานโครงการ “โตไปไม่โกง” ก็ได้เริ่ม“โครงการฝึกอบรมการใช้เครื่องมือในการเรียนการสอนหลักสูตรโตไปไม่โกง”ขึ้นเป็นครั้งแรกในปีนี้ เพื่อให้การอบรมครูทั่วประเทศกว่า 600 คน ซึ่งจะกลายเป็นบุคคลสำคัญในการทำหน้าที่ส่งต่อและขยายแนวคิดนี้ไปสู่กว่า 30,000 โรงเรียนทั่วประเทศ
ขอย้ำว่ารัฐบาลนี้มีความจริงจังที่จะดำเนินการลงโทษคนที่ทุจริตอย่างเป็นรูปธรรม ใครทำผิดจะต้องถูกดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ใครไม่ได้ทำอะไรผิดก็ไม่ต้องกลัว ก็ทำงานให้ดีที่สุดต่อไป ส่วนใครที่คิดจะทำก็ขอให้กลับไปคิดใหม่นะครับ ถ้าทุกคนไม่ทุจริต รู้จักแบ่งปันไม่เอาเปรียบซึ่งกันและกันก็จะทำให้ไม่เกิดการทะเลาะเบาะแว้งสังคมก็อยู่อย่างมีความสุขต่างชาติอยากเข้ามาลงทุน ส่งผลให้เศรษฐกิจเดินหน้าไปได้สังคมดีขึ้นนะครับ งบประมาณที่หายไปก็จะมาแก้ไขเรื่องความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรมต่างๆ เหล่านั้นให้มีความเข้มแข็งมากขึ้นนะครับ ก็จะลดลงไปได้มากพอสมควรนะครับ
วันนี้ผมอยากพูดถึงมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลกำหนดขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาการทุจริต เรื่องแรกคือ การปฏิรูปการให้บริการภาครัฐเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและส่งเสริมความเข้มแข็ง ให้เข้าถึงบริการภาครัฐ ให้ “เร็วขึ้น ง่ายขึ้น แต่ถูกลง” ช่วยขจัดการทุจริตพร้อมกับให้ความสะดวกกับประชาชนชนในการเข้าถึงการบริการของรัฐ ที่ไม่ยากจนเกินไปนะครับ ทั้งนี้รัฐบาลก็ได้ออกพระราชบัญญัติ การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ.2558 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อ 22 มกราคม 2558 ไปแล้วนะครับ จะมีผลบังคับใช้ตามกฎหมายตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2558 เป็นต้นไปหน่วยงานภาครัฐจะต้องจัดทำ“คู่มือสำหรับประชาชน” ที่อธิบายรายละเอียดของการบริการอย่างถูกต้องชัดเจน ซึ่งจะรวมถึง วิธีการ ค่าธรรมเนียม เอกสารหลักฐานและระยะเวลาการทำการสำหรับการตรวจสอบเอกสารว่าถูกต้องครบถ้วนก็จะต้องดำเนินการทันทีนะครับ หากมีปัญหาหรือต้องการเอกสารเพิ่มเติมต้องแจ้งได้ในคราเดียว ไม่ล่าช้า ไม่ปล่อยให้ประชาชนรอ หากการดำเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่เป็นไปตามคู่มือฯ ก็แสดงถึงการส่อทุจริต หรือการไม่มีประสิทธิภาพนะครับ พี่น้องประชาชนก็สามารถร้องเรียนผ่านศูนย์ดำรงธรรม - ศูนย์รับเรื่องราวร้องเรียน (OSS) เพื่อขอให้สอบสวน หรือบังคับใช้ พ.ร.บ.การอำนวยความสะดวกฯ ได้ โดยศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ศอตช.จะติดตามอำนวยความสะดวกเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายครับ
เรื่องที่ 2 ก็คือ การยกระดับการบังคับใช้มาตรการทางปกครอง ทางวินัย ซึ่งเป็นอำนาจของผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้าหน่วยงาน หากไม่บังคับใช้นะครับ ก็ถือเป็นความผิดทางวินัยที่ผ่านมา มาตรา 44 ได้ถูกนำมาใช้เพื่อเข้าไปบริหารดำเนินการ คลี่คลายปมปัญหา ในการบริหาราชการของเจ้าหน้าที่ระดับสูง โดยการชี้มูลของ 3 หน่วยงานหลัก คือ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งผลการสอบสวนเป็นอย่างไรก็จะมีการรายงาน เป็นระยะๆ อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ถูกปรับย้ายออกจากตำแหน่ง เพื่อเปิดทางให้มีการสอบสวน โดยเรายังถือว่าไม่มีความผิดใดๆ เมื่อสอบสวนเสร็จมีความผิดจริงก็ต้องรับโทษทั้งทางวินัยและทางอาญา แต่หาก “ไม่ผิด” ก็สามารถกลับมารับราชการได้เหมือนเดิมในกรณีที่มีเจ้าหน้าที่ระดับล่างซึ่งมีหลักฐานเชื่อมโยงกับการกระทำความผิดกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงผมได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการสอบสวนเช่นกัน ผมถือว่าการบังคับใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมา จะช่วยให้สังคมของเราปลอดการทุจริตได้ในอนาคต
เรื่องที่ 3 คือ การใช้มาตรการทางภาษีเป็นเครื่องมือการตรวจสอบเชิงรุกสำหรับผู้กระทำผิดเกี่ยวกับการทุจริต ทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกกล่าวหา หรือในส่วนของเอกชนที่เข้ามามีส่วนร่วมในการกระทำผิดที่เสนอขายสินค้า - บริการ ให้กับภาครัฐโดยไม่ดำเนินการทางภาษีให้ถูกต้องกรมสรรพากร จะตรวจสอบการแสดงบัญชี รายการรับจ่ายของโครงการที่มีบุคคล - นิติบุคคลเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานภาครัฐ ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และตามประมวลรัษฎากรตรวจสอบบุคคลผู้มีเงินได้เสียภาษีว่าครบถ้วน - ถูกต้องหรือไม่
เรื่องต่อไปคือ การปรับปรุง แก้ไข และยกระดับกฎระเบียบในการจัดซื้อจัดจ้างเดิมเรามีเพียงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 ปรับปรุงปี 2549 ซึ่งอาจจะทำให้ขาดความเชื่อมั่นจากผู้ประกอบการ นักธุรกิจต่างชาติ ที่อยากให้เราออกเป็น “กฎหมาย” เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และป้องกันการทุจริต ไม่ให้นักการเมืองทุจริต ข้าราชการคอรัปชั่น แล้วก็มีการแก้ไขรายละเอียดระเบียบการจัดซื้อได้โดยง่าย รัฐบาลเร่งผลักดันให้มีพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ซึ่งประกอบด้วย (1) มีขอบเขตการบังคับใช้ กว้างกว่าเดิม โดยครอบคลุมหน่วยงานของรัฐทุกแห่ง ได้แก่ ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หน่วยงาน - องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เป็นต้นนะครับ (2) ยึดหลักสำคัญ 4 ประการ คือ ความคุ้มค่า ความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ - ประสิทธิผล และตรวจสอบได้ซึ่งกำหนดให้ทำ “สัญญาคุณธรรม (IP)” ในสัญญาว่าจะไม่มีการรับหรือให้สินบน และใช้ “ระบบ CoST” เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนได้มีโอกาสเข้ามาตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ลดช่องทางการหาประโยชน์จากผู้มีอำนาจ และเพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแล รวมทั้ง ให้มีการเปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างในระบบเครือข่ายสารสนเทศของกรมบัญชีกลางเป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อสาธารณชน และ 3 กำหนดบทลงโทษ กรณีทำผิด โดยครอบคลุมการลงโทษผู้สั่งการให้จัดซื้อจัดจ้าง เช่น นักการ เมือง หรือหัวหน้าส่วนราชการ ที่ไปสั่งให้เจ้าหน้าที่ทำ ก็ต้องรับผิดด้วยนะครับ
ทั้งหมดนั้นถือว่าเป็นการสร้างระบบในการแก้ปัญหาทุจริต - คอรัปชั่น ที่ฝั่งรากลึกในสังคมไทยนะครับ ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศในอนาคต นอกจากนี้ มีแนวคิด ในการจัดตั้ง “กองทุนส่งเสริมธรรมาภิบาลและขจัดการทุจริต” โดยจะขอการจัดสรรงบประมาณบางส่วน จากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเพื่อนำมาใช้ในการรณรงค์ต่อต้านการทุจิตต่างๆ ต่อไปในอนาคตอีกด้วย
ขอขอบคุณข่าวจาก