ประหารให้หมด! องค์กรปราบโกงถกใช้“ยาแรง”ปราบทุจริตให้เหี้ยนสังคมไทย
“…ตอนนี้ต้องดำเนินการแก้ไขกฎหมายให้ดีขึ้น แต่เท่าที่เห็น เช่น การเปลี่ยนจาก E Auction เป็น E building หรืออะไรก็ตามแต่ มันจะดีขึ้นหรือไม่ เชื่อว่า เจอพวกที่ทำแบบนี้ ต้องโดนโทษใหม่ของกฎหมาย ป.ป.ช. การประหารชีวิตให้หมด น่าจะเหมาะสมที่สุด…”
“ไม่ได้บอกว่าเป็นการจับผิดข้าราชการ แต่เรามาช่วยเหลือภาครัฐ มาปลดทุกข์ เพื่อให้หมดการชี้นำ หรือการบังคับให้ถูกดำเนินการเหมือนในอดีต ยืนยันว่า คสช. (คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) ไม่มีการชี้นำ เพราะถ้ามีเราก็อยู่ไม่ได้ ดังนั้นคนไหนทำสุจริต ถูกต้อง ไม่ผิดกฎหมาย ก็ไม่ต้องกังวลใจ เราให้ความเป็นธรรม ไม่ได้จ้องจับผิดใด ๆ ทั้งสิ้น”
เป็นคำยืนยันของ “บิ๊กโย่ง” พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.)
ลั่นกลางวงอภิปรายแนวนโยบายในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ภายใต้กรอบ “การสร้างความเป็นธรรมในระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ และมาตรการความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของภาคเอกชน” ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จัดขึ้น ที่สโมสรทหารบก ถ.วิภาวดี-รังสิต
ท่ามกลางผู้ร่วมอภิปรายมากฝีมือ ไม่ว่าจะเป็น “ภักดี โพธิศิริ” กรรมการ ป.ป.ช. มือปราบด้านทุจริตรัฐวิสาหกิจ “พิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส” ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน
ถึงเหตุผลที่ คสช. และรัฐบาล “ขีดกรอบ” มาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตให้เข้มข้นยิ่งขึ้น
ส่งผลให้ “ข้าราชการ” บางราย “กังวล” ไม่กล้าเดินหน้าเบิกงบประมาณรายจ่ายอย่างเต็มที่ เพราะถูก คตร. จับตาอยู่ตลอดเวลา !
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org เรียบเรียงเนื้อหางานอภิปรายดังกล่าวมานำเสนอให้เห็นกันชัด ๆ ดังนี้
“ภักดี” เปิดฉากเล่าถึงมาตรการป้องกันการทุจริตตามแผนยุทธศาสตร์ชาติในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตระยะที่ 2 (พ.ศ.2557-2562) โดย “โฟกัส” ไปที่ประเด็น “บริษัทเอกชน” ที่เป็นคู่ค้าสัญญารัฐเป็นส่วนใหญ่ ซึ่ง ป.ป.ช. กำลังตรวจสอบว่ามีบริษัทใดบ้างที่ไม่ยื่นแบบบัญชีรายรับรายจ่ายกับกรมสรรพากร
“เอกชนที่เป็นคู่ค้าสัญญารัฐต้องเปิดเผยแบบบัญชีรายรับรายจ่ายกับกรมสรรพากรพร้อมกับงบดุลประจำปี เพราะเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องดำเนินการ แต่ขณะนี้ยังมีบางบริษัทไม่ดำเนินการ ซึ่ง ป.ป.ช. กำลังจะประกาศ “บัญชีดำ” ของบริษัทที่ไม่ได้ดำเนินการในเร็ว ๆ นี้ จะส่งผลให้ขาดคุณสมบัติในการเข้าเป็นคู่สัญญาของภาครัฐ และใช้เวลานานกว่าจะปลดชื่อออกจากบัญชีดำได้”
นอกจากนี้ “ภักดี” ยังยก พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2558 ซึ่งเป็นฉบับล่าสุด โดยมีบางมาตรากำหนดให้มีบทลงโทษแก่ผู้ที่ให้สินบนด้วย จากเดิมที่ลงโทษแต่ผู้รับสินบนอย่างเดียว ซึ่งคราวนี้เป็นโทษหนัก และลามไปถึงนิติบุคคลด้วย ดังนั้นเมื่อเกิดเรื่อง นิติบุคคลจะมาอ้างไม่ได้ว่าลูกน้องทำ เพราะในกฎหมายกำหนดไว้ และนิติบุคคลจะต้องถูกปรับอย่างน้อยเท่ากับความเสียหายที่เกิดขึ้นในโครงการอีกด้วย
ต่อด้วย “พล.อ.อนันตพร” อธิบายถึงอำนาจของ คสช. ในการใช้มาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวว่า รัฐบาลกับ คสช. ขับเคลื่อนไปตามกฎหมายปกติ และใช้มาตรา 44 เสริมเข้ามาเพื่อให้ได้ผลเร็วขึ้น และที่ผ่านมารัฐบาลก็มีมาตรการในการป้องกันการทุจริตหลายอย่าง เช่น การเปิดเผยข้อมูลความโปร่งใสของภาครัฐ ซึ่งกำลังทำอยู่ หรือการเพิ่มประสิทธิภาพของสถาบันการตรวจสอบ เช่น ป.ป.ช. สตง. เป็นต้น
“บิ๊กโย่ง” เล่าถึงปัญหาการเกิดทุจริตในสังคมไทยว่า การกำหนดราคากลางที่ค่อนข้างสูง ซึ่งหลัง 22 พ.ค. 2557 เป็นต้นมา คสช. ทบทวนการใช้งบประมาณใหม่ทั้งหมด โครงการไหนดี ตรวจสอบแล้ว ก็เดินหน้าต่อไป โครงการไหนเทา ๆ ก็ตรวจสอบก่อน ส่วนโครงการไหนไม่เป็นประโยชน์ยกเลิกไปเลย
“ตอนนี้พยายามลดราคากลางอยู่ เพราะเป็นปัญหาหนัก ถ้าราคากลางสูง ก็มีส่วนต่างเยอะ เราพยายามร่วมมือกับสำนักงบประมาณเพื่อให้ราคากลางเหมาะสม ถูกต้อง ขณะนี้เดินหน้ามาพอสมควรแล้ว ในปี 2559 จะปรับราคากลางให้เป็นมาตรฐาน ถ้าได้มาตรฐาน เขาก็ได้กำไรที่เหมาะสม ถ้ามีการจ่ายเงินกัน ก็จะขาดทุนในส่วนของกำไรที่จะได้รับ”
ในส่วนที่ คตร. จับตาดู “ข้าราชการ” ขั้นตอนการเบิกจ่ายงบประมาณนั้น “พล.อ.อนันตพร” ยืนยันว่า เห็นใจข้าราชการ เพราะเขามีความลำบากใจ ที่เรานำเครื่องมือใหม่ ๆ มาดำเนินการจริงจัง หรือลงโทษนั้น ทำให้ข้าราชการบางรายเกิดความไม่เข้าใจ เกิดความกลัว หรือไม่กล้าปฏิบัติ ทำไปก็กลัวผิด ซึ่งตรงนี้ต้องอธิบายให้ผู้บริหารภาครัฐต่าง ๆ เข้าใจ ถ้าทำถูกต้องก็เดินหน้าต่อ ถ้าไม่ถูกต้องก็ปรับตัวเอง และดำเนินการใหม่ให้ถูกต้อง
“ไม่ได้บอกว่าเป็นการจับผิดข้าราชการ แต่เรามาช่วยเหลือภาครัฐ มาปลดทุกข์ เพื่อให้หมดการชี้นำ หรือการบังคับให้ถูกดำเนินการเหมือนในอดีต ยืนยันว่า คสช. ไม่มีการชี้นำ เพราะถ้ามีเราก็อยู่ไม่ได้ ดังนั้นคนไหนทำสุจริต ถูกต้อง ไม่ผิดกฎหมาย ก็ไม่ต้องกังวลใจ เราให้ความเป็นธรรม ไม่ได้จ้องจับผิดใด ๆ ทั้งสิ้น”
ส่วน “พิศิษฐ์” เปิดฉากเล่าการทุจริตที่ สตง. เคยตรวจสอบพบมาอย่าง “ดุเดือด” ไม่ว่าจะเป็น กรณีการจัดซื้อจัดจ้างในท้องถิ่น เช่น การเบิกจ่ายงบประมาณสร้างถนนภายหลังเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 หลายโครงการ ใช้งบกว่า 8 พันล้านบาท ที่ระบุว่า “อย่าโทษภัยธรรมชาติ จะโทษว่าน้ำลดก็ไม่ใช่ เพราะน้ำลดแล้วตอผุด”
“ปัญหาทุจริตทุกวันนี้ในวงการจัดซื้อจัดจ้างมีหลากหลาย พูดไปแล้วก็เหมือนเอาใจเอกชน เดี๋ยวว่าง ๆ จะทำรายงานให้ คตร. ตรวจสอบดูว่า อย่างนี้ใช้ไม่ได้”
“พิศิษฐ์” ยังยกตัวอย่างที่ สตง. ตรวจพบการจัดซื้อจัดจ้างขนาดใหญ่ เช่น สร้างสนามฟุตซอล พบว่า เป็นพื้นคอนกรีตเสริมเหล็ก แต่ไม่ตรงตามสเป็ก ทำไปแล้วแต่อัธยาศัย ค่าสนามคอนกรีตราคากลาง 8 แสน พลาสติกป้องกันลื่นในห้องน้ำมาปูเป็นสนามฟุตซอลกว่า 4 ล้านบาท อะไรจะแพงขนาดนั้น ปีเดียวมันก็เสีย มันน่าเจ็บปวด
“มาตรการที่ต้องใช้คือมาตรา 44 ถือว่าเป็นการหยุดชะงักปัญหาได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้สมาคมหรือวิชาชีพตัวเองต้องตรวจสอบกันเองด้วย ปล่อยให้มีคนพรรค์นี้ในวงการ ก็ทำให้วิชาชีพด่างพร้อย”
ทั้งนี้ “พิศิษฐ์” ทิ้งท้ายว่า ตอนนี้ต้องดำเนินการแก้ไขกฎหมายให้ดีขึ้น แต่เท่าที่เห็น เช่น การเปลี่ยนจาก E Auction เป็น E building หรืออะไรก็ตามแต่ มันจะดีขึ้นหรือไม่ เชื่อว่า เจอพวกที่ทำแบบนี้ ต้องโดนโทษใหม่ของกฎหมาย ป.ป.ช. ประหารชีวิตให้หมด น่าจะเหมาะสมที่สุด
ขณะที่ “บิ๊กโย่ง” ระบุว่า คสช. พยายามแก้ไขอยู่โดยใช้กฎหมายปกติ ถ้าเรื่องไหนช้าก็ใช้มาตรา 44 เพื่อให้ยั่งยืน ป้องกันไม่ให้ทุจริต และพร้อมปราบปรามผู้ดำเนินการ ให้เกรงกลัวและเข็ดหลาบ ถ้าความจริงจังภาครัฐไม่มี ปัญหาทุจริตก็ไม่หมดไป
ทั้งหมดคือบทสรุปการอภิปรายเรื่อง “ป้องกัน-ปราบปราม” ทุจริต ที่เป็นปัญหาฝังรากลึก และกัดกินสังคมไทย สร้างบาดแผลมายาวนานหลายปีแล้ว
ส่วนจะแก้ไขได้จริงอย่างที่พูดไว้หรือไม่ ต้องติดตามต่อไปอย่างใกล้ชิด !