ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า ในคำร้องคัดค้านการส่งประเด็นไปสืบปากคำ “พ.ต.ท.สุวิชขัย แก้วผลึก” หรือ “นายเกียรติกรณ์ แก้วเพชรศรี” (เปลี่ยนชื่อ) พยานปากเอกในคดีลักพาตัว “นายโมฮัมหมัด อัลรูไวลี” นักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบีย ที่ทนายของ “พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม” อดีตจเรตำรวจ จำเลยที่ 4 ยื่นต่อศาลอาญา เมื่อวันที่ 4 ก.พ.2556 ที่ผ่านมา
เพราะเป็นการมาศาลด้วย “มือที่ไม่สะอาด” ทำให้จำเลยไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทบต่อสิทธิในกระบวนการยุติธรรมของจำเลย
โดยฝ่าย “พล.ต.ท.สมคิด” อ้างว่ามีพยานหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่า “อัยการฝ่ายโจทก์” รายหนึ่ง ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นำพา พ.ต.ท.สุวิชชัย หรือนายเกียรติกรณ์ ซึ่งต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกตลอดชีวิต ในคดีฆ่าผู้อื่นของศาลมีนบุรี หลบหนีหมายจับออกนอกประเทศไทย ไปยังประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.2555 ด้วยวิธีการที่มิชอบด้วยกฎหมาย เพื่อไปให้พ้นจากเขตอำนาจของศาลไทย
สำหรับหลักฐานที่ฝ่าย “พล.ต.ท.สมคิด” นำมาประกอบคำกล่าวอ้างดังกล่าว หลักๆ มีจำนวน 3 ชิ้น ประกอบด้วย
1.คำสั่งซื้อตั๋วเครื่องบินไปยังประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในวันที่ 21 ธ.ค.2555 ด้วยสายการบิน ETIHAD AIRWAYS เที่ยวบินที่ EY401 จำนวน 3 ใบ รวมมูลค่า 115,600 บาท ให้กับบุคคลรวม 3 คน หนึ่งในนั้นได้แก่ พ.ต.ท.สุวิชชัย หรือนายเกียรติกรณ์ (KAEWPETSRI/KEATIKORN MR ในเอกสารด้านล่าง)
โดยฝ่าย “พล.ต.ท.สมคิด” อ้างว่า คำสั่งซื้อตั๋วดังกล่าวออกมาจากสำนักงานของอัยการโจทก์รายหนึ่ง โดยบริษัทเอเจนซี่ที่ดำเนินการซื้อตั๋วให้ได้แฟกซ์รายละเอียดการซื้อตั๋วไปยังสำนักข่าวของอัยการฝ่ายโจทก์รายดังกล่าว
ส่วนอีก 2 คน ที่ร่วมเดินทางไปประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์กับ พ.ต.ท.สุวิชชัย หรือนายเกียรติกรณ์ ฝ่าย “พล.ต.ท.สมคิด” อ้างว่า เป็นพนักงานสอบสวนของดีเอสไอ มียศ “พันตำรวจโท” กับ “ร้อยตำรวจเอก”
(เอกสารการสั่งซื้อตั๋วเครื่องบินไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ให้กับ พ.ต.ท.สุวิชชัย หรือนายเกียรติกรณ์ (ด้านล่าง) กับพนักงานสอบสวนคดีพิเอสไอ อีก 2 คน (ด้านบน) ที่ฝ่าย พล.ต.ท.สมคิดอ้างว่าอัยการโจทก์รายหนึ่งเป็นผู้สั่งซื้อ - ปกปิดรายชื่อโดยสำนักข่าวอิศรา)
2.หลักฐานการโอนเงิน ของธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ อาคารเอ เป็นเงิน 115,600 บาท โดยมี “นางสาว พ.” เป็นผู้นำฝาก ไปให้กับบริษัทเอเจนซี่ที่ซื้อตั๋วเครื่องบินให้กับบุคคลทั้ง 3
โดยฝ่าย “พล.ต.ท.สมคิด” อ้างว่า “นางสาว พ.” เป็นผู้ปฏิบัติงานอยู่ในสำนักงานของอัยการฝ่ายโจทก์รายดังกล่าว
นอกจากนี้ ยังอ้างอีกด้วยว่า ในใบแฟกซ์สำเนาการโอนเงินผ่านธนาคารดังกล่าวไปยังบริษัทเอเจนซี่ ได้ส่งมาจากสำนักงานของอัยการโจทก์รายดังกล่าว ตามหมายเลขโทรสาร 02-143-97XX
(เอกสารการโอนเงินจาก "นางสาว พ." ไปยังบริษัทเอเจนซี่เพื่อชำระค่าตั๋วเครื่องบิน - ปกปิดรายชื่อโดยสำนักข่าวอิศรา)
และ 3.ใบเสร็จรับเงินที่บริษัทเอเจนซี่ดังกล่าว ออกให้หลังได้รับการโอนเงินซึ่งแบ่งเป็น 2 ใบ ใบแรกออกให้กับ “นางสาว พ.” เป็นจำนวนเงิน 83,200 บาท
อีกใบออกให้กับ “นาย ก.” เป็นเงินจำนวน 32,400 บาท ซึ่งฝ่าย “พล.ต.ท.สมคิด” อ้างว่า เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของอัยการฝ่ายโจทก์รายนั้นด้วย
(ใบเสร็จรับเงินที่บริษัทเอเจนซี่ออกให้กับ "นางสาว พ." (ด้านบน) และ "นาย ก." (ด้านล่าง) - ปกปิดรายชื่อโดยสำนักข่าวอิศรา)
พล.ต.ท.สมคิด ได้เบิกความในศาลเมื่อวันที่ 4 ก.พ.2556 ถึงสาเหตุที่คัดค้านการส่งประเด็นไปสืบ พ.ต.ท.สุวิชชัย หรือนายเกียรติกรณ์ ที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ว่า “เพราะเชื่อว่ามีการช่วยเหลือพยานปากนี้ ให้พ้นไปจากอำนาจของขอบเขตอำนาจศาลไทย ทำให้จำเลยเสียเปรียบ และมีโอกาสที่พยานปากนี้จะมิได้เบิกความโดยอิสระ เพราะมีหมายจับคดีฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ที่ศาลมีนบุรีตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต จึงเชื่อว่ามีโอกาสที่จะใช้หมายจับบีบบังคับให้การอย่างไรก็ได้”
แม้ท้ายสุด ศาลจะมีคำสั่งว่า อนุญาตให้ส่งประเด็นไปสืบ พ.ต.ท.สุวิชชัย หรือนายเกียรติกรณ์ ที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้ หลังพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ประเด็นที่ พล.ต.ท.สมคิด จำเลยที่ 4 ยื่นคัดค้าน เป็นคนละกรณีกับการส่งประเด็นไปสืบพยานปากนี้ในต่างประเทศ
แต่ พล.ต.ท.สมคิด ก็ประกาศไว้ล่วงหน้าแล้วว่า จะยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใน 1-2 วันนี้ เพื่อขอให้เอาผิดกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการพาตัว พ.ต.ท.สุวิชชัย หรือนายเกียรติกรณ์ ออกนอกประเทศ โดยในคำร้องที่จะยื่นต่อ ป.ป.ช.จะมีรายชื่อผู้เกี่ยวข้องไม่ต่ำกว่า 5 คน !