สันติสนทนาในบริบทของความรุนแรงที่ภาคใต้
ในวันที่ 31 มีนาคม 2555 ความรุนแรงในภาคใต้ได้ปะทุขึ้นด้วยเหตุการณ์ระเบิดจำนวน 5 ครั้ง โดยเกิดเหตุในจังหวัดยะลา 3 ครั้ง ในจังหวัดปัตตานี 1 ครั้ง และอีกครั้งที่โรงแรมลีการ์เดนส์ พลาซ่า ซึ่งตั้งอยู่ในย่านธุรกิจใจกลางเมืองหาดใหญ่
เหตุร้ายเหล่านี้ต้องนับเป็นครั้งประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะมองในแง่ขององค์ประกอบในการก่อความรุนแรง, ความโดดเด่นของภาพความรุนแรงที่ปรากฏ และผลของการแลเห็นภาพดังกล่าวในใจคน และที่สำคัญคือจำนวนของผู้คนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เนื่องจากมีผู้เสียชีวิตจำนวน 14 คน และบาดเจ็บอย่างน้อย 549 คน ซึ่งรวมไปถึงเด็กๆ อีกร่วมร้อยคน แม้แต่เด็กทารกวัยเพียงสองเดือนก็พลอยเป็นเหยื่อความรุนแรงครั้งนี้ไปด้วย จำนวนตัวเลขของผู้บาดเจ็บที่สูงที่สุดมาจากกรณีระเบิดที่โรงแรมลีการ์เดนส์ฯ ซึ่งมีผู้ได้รับบาดเจ็บถึง 416 คน
เมื่อราวหนึ่งปีก่อน ในวันที่ 30 มีนาคม 2554 คณะทำงานยุทธศาสตร์สันติวิธี (คยส.) ซึ่งเป็นคณะทำงานทางความคิด (think tank) ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ได้นำเสนอรายงานเชิงนโยบายของคณะทำงานฯ พร้อมกับข้อเสนอหลายประการ รวมทั้งการเสนอแนะให้มีนโยบายเกี่ยวกับ "กระบวนการสันติสนทนา" ที่เป็นเอกภาพ รายงานเชิงนโยบายชิ้นนั้นยังได้ระบุว่าความรุนแรงในภาคใต้ดูเหมือนจะพุ่งสูงขึ้นคล้ายแนวโน้มที่เห็นตั้งแต่ต้นปี 2547 กระทั่งถึงปี 2550
รายงานดังกล่าวยังได้ชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงที่ว่าการใช้ระเบิดนั้นแพร่หลายมากยิ่งขึ้นและดูเหมือนว่าจะมีความซับซ้อนในทางเทคนิคยิ่งกว่าเมื่อก่อน
เหตุการณ์สำคัญก่อนหน้าเหตุร้ายเมื่อวันที่ 31 มีนาคมคือเหตุระเบิดรถยนต์ที่จอดอยู่ใกล้กับศาลากลางจังหวัดปัตตานีเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2555 ระเบิดในรถยนต์น้ำหนัก 30 กิโลกรัมดังกล่าวได้ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 คน และบาดเจ็บอีก 12 คน ทำให้ตึกสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปัตตานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเขต 1 จังหวัดปัตตานี รวมไปถึงรถยนต์ที่จอดอยู่ในที่เกิดเหตุ 12 คันเสียหายยับเยินไปด้วย เหตุระเบิดที่ปัตตานีในครั้งนั้นได้แสดงให้เห็นการเคลื่อนตัวชนิดใหม่ของความรุนแรงในภาคใต้อย่างชัดเจนมากขึ้น ที่สำคัญคือระเบิดขนาดนี้ที่มีอำนาจทำลายร้ายแรงถึงเพียงนี้ทำให้เห็นว่าผู้ผลิตและใช้ระเบิดมีความสามารถทางเทคนิคเหนือกว่าที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ในบริบทเช่นนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องยืนยันและ/หรือนำเสนอนโยบายที่เป็นเอกภาพของภาครัฐเกี่ยวกับสันติสนทนา (peace dialogue) ในเวลาเช่นนี้ โดยเฉพาะเมื่อความรุนแรงในภาคใต้ขยายตัวและเข้มข้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การตระหนักแน่ถึงความจำเป็นของนโยบายดังกล่าวควรต้องวางอยู่บนสาระของการทำความเข้าใจสันติสนทนาให้ดีขึ้น ทั้งในแง่ที่ว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่ว่านี้คืออะไร และจะสามารถทำงานได้อย่างไรในบริบทของความรุนแรงที่สุดขั้วเช่นนี้
สันติสนทนาไม่ใช่อะไร?
บางคนแน่ใจว่าการที่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบได้ขยายความขัดแย้งที่ถึงตายด้วยระเบิดเหล่านั้นก็เพื่อกดดันรัฐบาลให้นั่งลงพูดคุยกับพวกเขา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ปรารภว่าการสนทนากับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบเพียงบางกลุ่มคือสาเหตุที่ทำให้เกิดการโจมตีด้วยระเบิดในวันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา
ในอีกด้านหนึ่ง พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ก็ได้ออกมาปฏิเสธเมื่อเร็วๆ นี้ว่าไม่มีการพูดคุยที่ไม่เป็นทางการใดๆ ระหว่าง ศอ.บต. กับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ (Bangkok Post, 3 และ 4 เมษายน 2555)
การโต้ตอบเหล่านี้เกิดขึ้นในบริบทของรายงานข่าวว่ามี "สันติสนทนา" ระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบอย่างแพร่หลาย พร้อมๆ กับการดำเนินการผลักดัน "นโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2555-2557" ฉบับใหม่ ซึ่งจัดทำขึ้นโดยสภาความมั่นคงแห่งชาติและขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างรอการพิจารณาให้ความเห็นของวุฒิสภาไทย
ที่สำคัญ วัตถุประสงค์ข้อที่ 8 ของนโยบายดังกล่าวคือการสร้างสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับสันติสนทนาและเอื้ออำนวยให้มีความต่อเนื่องของกระบวนการสันติสนทนากับกลุ่มที่เลือกใช้ความรุนแรงต่อต้านรัฐอันเนื่องมาจากอุดมการณ์ที่เห็นแย้งแตกต่าง
จากงานศึกษาเกี่ยวกับ "การสานเสวนา" ของ มารค ตามไท รองประธานของ คยส. และ ปาริชาต สุวรรณบุปผา จากมหาวิทยาลัยมหิดล พบว่ามีเหตุผลอยู่หลายข้อที่ตอบต่อคำถามที่ว่าเหตุใดสันติสนทนาจึงมักจะถูกปรามาสและตั้งแง่สงสัย
ประการแรก มีผู้คนจำนวนหนึ่งที่เห็นว่าไม่มีเหตุผลใดๆ ที่ควรจะต้องเข้าไปข้องเกี่ยวกับการสนทนากับผู้คนที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม
ประการที่สอง เมื่อบางคนเข้าร่วมสานเสวนาก็เป็นเพียงเพื่อพยายามจะปกป้องผลประโยชน์ของตนและกลุ่มเท่านั้น
ประการที่สาม สำหรับผู้คนที่ต้องการเข้าไปข้องเกี่ยวกับกระบวนการดังกล่าว พวกเขาก็ทำเพียงเพื่อป้องกันมิให้ "สูญเสีย" คนของพวกตนให้กับอีกฝ่าย ขณะที่มองกระบวนการเสมือนที่เก็บเกี่ยวข้อมูลสำคัญๆ เท่านั้น ไม่ต่างกับการพบปะกับ "ศัตรู" ก่อนหน้าการสู้รบในสมรภูมิ
ประการที่สี่ ไม่เพียงคนที่เข้าร่วม "สานเสวนา" จะไม่ไว้ใจกันเอง บางคนยังไม่มีความเชื่อมั่นในตัวกระบวนการสานเสวนานั้นเองด้วย
ประการที่ห้า บางคนมั่นใจว่าหลักการบางอย่างที่ใช้กับกระบวนการสานเสวนา (เช่นว่าการเปิดเผยความจริง?) ไม่สามารถประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ในชีวิตจริงใดๆ ได้เลย
และประการที่หก เพราะไม่ใส่ใจว่า "สานเสวนา" เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา บางคนจึงรีบชี้เลยว่าการสนทนานั้นไร้ประโยชน์ เนื่องจากผู้คนยังถูกฆ่าต่อเนื่องไม่หยุด
คงต้องกล่าวถึงประเด็นที่ควรจะชัดเจนแต่ต้น คือ สันติสนทนาไม่ใช่การเจรจา (negotiation) เป้าประสงค์ของการเจรจานั้นคือข้อตกลง ซึ่งบางครั้งก็หมายถึงข้อตกลงสันติภาพ การเจรจาในที่นี้ควรต้องนำผู้คนที่มีอำนาจหน้าที่จากทั้งสองฝ่ายมาสู่โต๊ะเจรจา บ่อยครั้งมักมีตัวกลาง (mediator) ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับกระบวนการเหล่านี้เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อตกลงในท้ายที่สุด
ตัวอย่างเช่น ข้อตกลงสันติภาพเดย์ตันซึ่งจัดทำกันที่ฐานทัพอากาศไรท์-แพทเทอสันใกล้เมืองเดย์ตัน รัฐโอไฮโอ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2538 โดยมีประธานาธิบดีสามคนจากเซอร์เบีย โครเอเชีย และบอสเนีย เข้าร่วม มีการลงนามในข้อตกลงดังกล่าวอย่างเป็นทางการในวันที่ 14 ธันวาคม 2538 และถือเป็นจุดสิ้นสุดของสงครามในบอสเนีย
อีกตัวอย่างหนึ่งคือข้อตกลงแคมป์เดวิดในปี 2521 ซึ่งยังผลให้เกิดสนธิสัญญาสันติภาพอียิปต์-อิสราเอลในปี 2523 ที่ประธานาธิบดีซาดัตแห่งอียิปต์ และนายกรัฐมนตรีเบกินแห่งอิสราเอล ลงนามกันที่กรุงวอชิงตันดีซี เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2523 โดยมีประธานาธิบดี จิมมี คาร์เตอร์ เป็นประจักษ์พยาน
นอกจากนี้ สันติสนทนายังไม่ใช่การพูดคุยระหว่างคู่ขัดแย้งที่มีเป้าประสงค์ในเชิงการทหารเพื่อการค้นหาว่าอีกฝ่ายนั้นต้องการอะไรและมีลักษณะอย่างไร (เช่น ควานหาข้อมูลเกี่ยวกับขนาดและโครงสร้างของกลุ่มหรือที่ตั้งของอีกฝ่าย) งานเช่นนี้คือการแสวงหาข่าวกรอง สันติสนทนายังแตกต่างจากการพูดคุยในกรอบของการทำสงครามจิตวิทยาที่มีเป้าประสงค์เพื่อปรับเปลี่ยนความคิดของอีกฝ่าย ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญของการทำสงคราม
ทำความเข้าใจสันติสนทนา
นอกจาก "สันติสนทนา" จะขึ้นต่อลักษณะเฉพาะของความขัดแย้งในแต่ละที่ เป้าประสงค์ของสันติสนทนายังถูกกำหนดโดยธรรมชาติของการสนทนานั้นเองด้วย มักถือกันว่าการสนทนาหมายถึงวิธีการที่จะต้องใช้เผชิญหน้ากับความขัดแย้ง "ผ่านถ้อยคำ (through words)" สำหรับคำว่า "ผ่าน (through)" นี้ ในภาษากรีก คือ "dia" ซึ่งหมายถึง "ระหว่าง (during)" "ห้วงเวลาที่ต่อเนื่อง (successive intervals)" "ในทิศทางที่แตกต่าง (in different directions)" "ผละจากห้วงเวลาที่หยุดหรือพัก (leaving an interval)" หรือ "รอยแยกหรือเปิดช่อง (breach)"
กล่าวให้ถึงที่สุดการสนทนาเป็นวิธีการที่ผู้คน (โดยเฉพาะคนที่เลือกจะเอาตัวเองเข้าไปข้องเกี่ยวกับการพยายามทำสิ่งนี้ในท่ามกลางความขัดแย้งที่ถึงตาย) จะมองเห็นทั้งตัวของพวกเขาเองและตัวตนคนอื่น อันตอกย้ำยืนยันถึงวิถีทางที่อัตลักษณ์อันแตกต่างกันจะได้เผชิญหน้ากันและกันในกระบวนการสนทนา เมื่อสันติสนทนาก่อตัวขึ้นในท่ามกลางความขัดแย้งที่ถึงตายดังเช่นกรณีชายแดนใต้ของประเทศไทยหรือในภาคใต้ของฟิลิปปินส์ ผู้ที่เข้าร่วมสนทนาเหล่านั้นอาจไม่ได้มาในฐานะเพื่อน หากแต่แรกมาร่วมกระบวนการในฐานะศัตรู หากเขาจะตัดสินใจเข้าร่วมกระบวนการนี้
สันติสนทนาจึงมีเป้าประสงค์อยู่ที่เข้าถึงความเข้าใจกันและการสร้างความไว้วางใจ ความเข้าใจในกรอบคิดของการสนทนาดังกล่าวนี้หมายถึงอะไรบางอย่างที่ใกล้เคียงกับการเอาใจเขามาใส่ใจเรา (empathy) กล่าวคือ การมองเห็นและรู้สึกเกี่ยวกับโลกเหมือนกับที่อีกฝ่ายหนึ่งมองเห็นและรู้สึก ความเข้าใจในลักษณะนี้สำคัญยิ่ง หากปรารถนาจะเข้าใจให้ได้ว่าการต่อสู้ของฝ่ายนั้นวางอยู่บนฐานความชอบธรรมเช่นไร
คนไม่ควรเข้าร่วมกระบวนการสันติสนทนาด้วยความรู้สึกอับจนสิ้นหนทาง แต่ด้วยความมั่นอกมั่นใจว่ามีทางเลือกอื่นที่นอกเหนือจากการใช้ความรุนแรง ทั้งยังมาจากการที่ทั้งสองฝ่ายต่างต้องการที่จะรักษาเสริมสร้างทางเลือกเหล่านั้นผ่านการทำความเข้าใจเหตุผลและโลกของอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้ง ด้วยความหวังว่าความเชื่อมั่นไว้วางใจระหว่างคู่ขัดแย้งจะก่อตัวขึ้นในท้ายที่สุด
ปัญหาของสันติสนทนากับความรุนแรงในภาคใต้นั้นไม่ใช่ว่าไม่มีการสนทนากันระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลไทยในบางระดับกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในอีกบางปีก สิ่งที่จำเป็นในขณะนี้คือการมีนโยบายของภาครัฐที่เป็นเอกภาพเกี่ยวกับสันติสนทนาเพื่อเปิดโอกาสให้เกิดช่องทางสื่อสารอันหลากหลาย กล่าวอีกอย่างก็คือ ควรต้องมีนโยบายที่เกี่ยวกับสันติสนทนาที่มีความเป็นเอกภาพโดยที่เปิดหน้าต่างแห่งโอกาสสำหรับการสนทนาอันหลากหลายช่องทางในเวลาเดียวกัน
นโยบายที่เป็นเอกภาพจะทำหน้าที่เป็นการกำหนดทิศทางยุทธศาสตร์ที่กว้างขวางครอบคลุมการแสวงหาทางออกทางการเมืองต่อปัญหาความรุนแรงในภาคใต้ พร้อมๆ กับการเอื้อให้เจ้าหน้าที่รัฐที่ทำงานสันติสนทนาอยู่มีความรู้สึกถึงความมั่นคงและมั่นใจ การแสวงหาโอกาสของสันติสนทนาอันหลากหลายจะมีส่วนสำคัญที่จะทำให้มีผู้คนจากภาคส่วนต่างๆ เข้าร่วมกระบวนการอย่างกว้างขวางครอบคลุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากในฝ่ายของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบเอง
ยิ่งไปกว่านั้น กระบวนการสันติสนทนายังน่าจะช่วยเปิดพื้นที่ให้กับผู้ที่นิยมแนวทางสายกลางภายในกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ในขณะเดียวกันก็อาจทำให้คนที่มีแนวคิดสุดโต่งในกลุ่มพวกเขาอ่อนกำลังลงด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง กระบวนการสันติสนทนาจะทำหน้าที่เป็นดั่งพื้นที่ซึ่งทรงพลังอำนาจให้กับความเป็นไปได้อื่นๆ ที่อาจจะบรรเทาโศกนาฏกรรมแห่งความรุนแรงที่กำลังเกิดขึ้นในภาคใต้ได้ในที่สุด
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หมายเหตุ :
1 ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ เป็นศาสตราจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และประธานคณะทำงานยุทธศาสตร์สันติวิธี สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
2 บทความชิ้นนี้เผยแพร่ครั้งแรกเป็นภาษาอังกฤษในเว็บไซต์และหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2555 ในชื่อ “Building the case for peace dialogues”
3 ถอดความเป็นภาษาไทยโดย รอมฎอน ปันจอร์ จากศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้
ขอบคุณ : ภาพประกอบจากเว็บไซต์สารคดี http://www.sarakadee.com/2008/12/16/chaiwat-sataanant/