แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
สามแยก"ความสุข" บนถนนสาย "ปัญญา"
ถึงจะรู้ดีชนิดเข้าทำนอง คิดได้-ถามได้-ตอบได้ แต่กับบางเรื่องที่แสนคุ้นชินอย่าง “การหาความสุข” ดูเหมือนเป็นเคสสุดคลาสสิคที่ความรู้ที่มี อาจไม่มีผลผูกพันธ์ต่อ “การกระทำ”เลย (ก็ได้)
เห็นง่ายๆ เอาจากปรากฎการณ์บรรดาหนังสือหรือสื่อต่างๆจำพวกเข็มทิศการใช้ชีวิต ที่นับวันยอดขายจะสูงลิ่วและถูกผลิตซ้ำติดอันดับ หากในภาพรวมของสังคมกลับไม่มีสัญญาณใดบอกได้ว่าผู้อาศัย (ที่น่าจะเคยผ่านตาหนังสือเหล่านั้นบ้าง) จะมีสุขจริง
ที่มาของการเกิดสุขที่แท้จริง จึงไม่น่าจะถูกจำกัดที่การรับรู้เพียง ประเภทบอกต่อและร่วมรับฟังเพียงอย่างเดียว หากต้องบวกความพยายามฝึกฝนปฏิบัติคล้ายแบบฝึกหัด พร้อมทบทวนตัวเองอยู่ในที
เมื่อความสุขเกิดจากการปฏิบัติ 2-3 ปีที่ผ่านมาสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เครือข่ายพุทธิกา จึงได้ชูแนวคิด “สุขแท้ด้วยปัญญา” ขึ้น พร้อมกับเกิดโครงการย่อย ให้แต่ละโปรเจคไปแสวงหาความสุขตามแต่ละบริบทพื้นที่ ประหนึ่งตั้งโจทย์ทำการบ้านด้วยตัวเอง
โดยมีกติกา4ประการ ที่ว่าการฝึกฝนสร้างความสุขที่ว่านั้นต้อง 1.คิดถึงผู้อื่นมากกว่าตนเอง 2.ไม่พึ่งพาความสุขทางวัตถุ 3.เชื่อมั่นในความเพียร ไม่หวังลาภลอยคอยโชค และ4.รู้จักคิดอย่างมีเหตุผลและเป็นประโยชน์เกื้อกูล
เมื่อแนวทางการสร้างสุขได้ถูกกำหนดด้วยความต่าง กระบวนการทำกิจกรรมจึงไม่ซ้ำแบบกัน สุขที่ได้จึงมีที่มาหลากหลาย
ลัดดา สงกระสินธ์ หัวหน้าโครงการ “ศิลปะติดดิน ศิลปินหลังห้อง” หนึ่งใน 58 โปรเจค “สุขแท้ด้วยปัญญา” ปี3 มองถึงความสุขว่า ก่อนจะเกิดขึ้นได้ ต้องทำความเข้าใจตัวเองก่อนอย่างแรก
“กล่าวคือเราต้องทำความเข้าใจตัวเองว่าเราต้องการอะไร มองให้ลึกถึงแก่นของมัน อย่าไปมองแค่เปลือก มิเช่นนั้นการตอบสนองความสุขจะถูกจำกัดเพียงวัตถุ สิ่งของ” เธอสรุปความคิด
ก่อนจะเล่าถึงการสร้างความสุขด้วยงานศิลปะไม่จำกัดรูปแบบ ตามฉบับกลุ่ม “กิ่ง ก้าน ใบ” ให้แก่เยาวชนและผู้สนใจในจ.อุตรดิตถ์ ซึ่ง “ลัดดา” สะท้อนภาพรวมๆว่า ในปัจจุบันเยาวชนส่วนใหญ่ในพื้นที่ที่ทำกิจกรรมนั้น ได้ยึดโยงเวลาว่างของตัวเองกับการเข้าร้านเกม การซิ่งมอเตอร์ไซค์ กระทั่งการใช้และความต้องการเครื่องมือสื่อสารที่ล้นเหลือ ซึ่งทั้งหมดนำไปสู่ปัญหาอื่นๆตามมา”
“ตัวอย่างจากกลุ่มเด็กผู้ชายที่ชอบขับมอเตอร์ไซค์ซิ่ง เมื่อสอบถามได้คำตอบว่านั้นคือความสุขของพวกเขา เราเห็นว่าไม่น่าจะถูก จึงชวนมาตั้งข้อสงสัยผ่านกิจกรรม เริ่มจากเมื่อเขาได้หยุดตัวเองบนกิจกรรมเดิมๆที่เคยทำ มาจับดินสอวาดรูป เราให้โจทย์เขาว่าให้วาดรูปความสุขของตัวเอง ซึ่งไม่แปลกว่าภาพความสุขที่ออกมานั้นคือภาพที่เขาซิ่งมอเตอร์ไซค์กับเพื่อน เราจึงให้เขาคิดและวาดภาพต่อถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นต่อจากการขี่มอเตอร์ไซค์”![]()
ซึ่งภาพเหตุการณ์ที่เยาวชนสะท้อนออกมานั้น “ลัดดา” อธิบายว่า มี2กรณี นั่นคือหนึ่งเขาได้รับเสียงเชียร์จากเพื่อน และสองรถของเขาได้เกิดอุบัติเหตุ และมีคนเดือดร้อน
“นำไปสู่กระบวนการต่อไปที่จะวิพากษ์วิจารณ์กันว่า ความสุขที่เขาอาจจะได้รับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นมีความคุ้มค่าและอะไรที่มีความสุขมากกว่ากัน”
เธอ บอกด้วยว่า กระบวนการพิจารณาอย่างรอบด้าน ทำให้เยาวชนคิดได้ว่า “ความสุขที่เขาหาได้จากการซิ่งมอเตอร์ไซค์นั้นเป็นแค่เปลือก แต่แก่นของมันอยู่ที่อำนาจ การได้ความยอมรับจากเพื่อน” ซึ่งนั้นนำไปสู่คำถามต่อที่ว่า จำเป็นหรือไม่ที่การยอมรับต้องเกิดจากการซิ่งมอเตอร์ไซค์อย่างเดียว
อีกด้านหนึ่ง สมัย วรหาร สมาชิกโครงการ “เยาวชน ค้นธรรม นำทางสู่ความสุขด้วยปัญญา” จากพื้นที่ อ.กุดข้าวปุ้น จ.อุบลราชธานี เล่าว่า แม้จะมีอาชีพทำการเกษตร แต่เขารู้มาตลอดแล้วว่า การได้มาซึ่งความสุขนั้นมีที่มาจาก“ใจ” เพราะที่ตรงนี้เสมือนเป็นศูนย์รวมของชีวิตไว้
แต่ความรู้แค่นั้น ก็ไม่ได้ทำให้เปลี่ยนพฤติกรรมการกินเหล้า การใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย การใช้ชีวิตไปวันๆ เข้าทำนอง “ทำงาน กินเหล้า เข้านอน” วนเช่นนี้ไปเรื่อยๆได้
“ที่อีสานมีครูบาอาจารย์มากมาย มีหลักคำสอนที่เป็นที่ศรัทธา ผมเองก็รู้ เราเองก็อยากทำดี เป็นคนที่มีคุณค่า แต่บางทีมันเหมือนกับว่าอยากจะเริ่มต้น อยากเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ แต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน”เขาว่า
จนถึงเวลาที่เทศบาลตำบลกุดข้าวปุ้น ทำโครงการจากแนวทาง “สุขแท้ด้วยปัญญา”เขาจึงลองเข้ามาศึกษาดู แม้ทีแรกจะไม่ได้คาดหวังอะไรก็ตาม
“พอได้มาลองทำ มันเหมือนกับเติมสิ่งที่เราอยากรู้อยู่แล้ว ได้เขาไปศึกษาธรรมที่ครั้งหนึ่งเราเคยได้ยิน ได้ช่วยเหลือสังคมผ่านการบำเพ็ญประโยชน์ต่างๆ”
“ทำตัวเองให้ดี ไม่เป็นภาระของสังคม ตอบแทนพระคุณพ่อแม่นี่คือสิ่งแรก จากนั้นเมื่อเรามีกำลัง มีแรง เราต้องช่วยเหลือผู้อื่นด้วย” สมัยบอกและว่าการเลิกเหล้าดูจะเป็นอีกรูปธรรมหนึ่งที่เขาค้นพบหลังร่วมกิจกรรม
เมื่อถามถึงแนวทางแห่งความสุขในชีวิตต่อไป หนุ่มวัย27ปี ที่เพิ่งตัดสนใจเริ่มศึกษาต่อในการศึกษานอกระบบรายนี้ บอกว่า ความพอดี
“นอกจากการพัฒนาตัวเองให้มีคุณค่าแล้ว ผมให้ความสำคัญกับความพอดี จะทำอะไรต่อจากนี้จะยึดหลักความพอดี ไม่อยากได้ อยากมีมากจนเกินไป”สมัย กล่าว
ส่วนความสุขที่แปรจากความทุกข์ของ ‘ปราณี วิโรจน์รัตน์” จ.สุรินทร์ ผู้ป่วยโรคไตที่รักษาตัว มากกว่า10ปี หนึ่งในผู้ร่วมกิจกรรม “สุขแท้แม้ฟอกไต” ก็ช่างยิ่งใหญ่นัก
เธอ เล่าว่า เคยท้อแท้และเกือบสิ้นหวัง เพราะการป่วยโรคไตของเธอนั้นมีอาการแทรกซ้อนอื่นๆด้วย
“แต่เราพยายามจะคิดในแง่ดี และโชคดีที่ได้เพื่อนเมื่อได้เข้ามาทำกิจกรรม มันเหมือนกับว่าเรามีเพื่อนที่จะพูดคุยกันอย่างเข้าอกเข้าใจ ได้ถ่ายทอดบทเรียนที่พอจะเกิดประโยชน์กับสังคมได้บ้าง ได้ทบทวนตัวเอง ถือได้ว่ามันมีความรู้สึกดีๆในช่วงเวลาที่เราเจ็บป่วย ไม่ทุกข์ไปกับมันมาก”
แต่กับความสุขแบบที่ใครๆก็แสวงหา เธอ ตอบทำนองว่า ยังไม่ถึงจุดนั้น เพราะต้องรักษาตัวเองอยู่ หากแต่กิจกรรมทั้งหมดได้สร้างความคิด สร้างปัญญาและกำลังใจให้สู้กับชีวิตต่อ เสมือนใช้ปัญญาเป็นบันไดไปสู่การสร้างความสุข
ไม่ต่างกับคนอื่นๆ
