แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
โศกนาฏกรรมบนโทลล์เวย์ เมื่อสังคมเป็น“โจทก์”ทวงถามความเป็นธรรม
กรณีเหตุการณ์ “วัยรุ่น 17 ปี ขับรถเก๋งเฉี่ยวชนรถตู้โดยสาร” เป็นเหตุให้ผู้โดยสารรถตู้เสียชีวิตถึง 9 ศพ ถือเป็นโศกนาฏกรรมส่งท้ายปี 2553 ที่สร้างความสะเทือนขวัญ รวมทั้งเกิดกระแสความตื่นตัวของคนทั่วไป โดยเฉพาะในสังคมโลกออนไลน์ ถึงขั้นเกิดกลุ่ม Facebook ,Twitter, website ต่างๆ เพื่อเกาะติดตาม ความคืบหน้าของคดีความและร่วมแสดงความเห็นกันอย่างกว้างขวางข้ามปี
นับเป็นกระแสที่เกี่ยวกับคดีอุบัติเหตุทางถนนที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
หนึ่งเดือนก่อนหน้านั้นมีเหตุการณ์ “รถตู้ตกทางด่วนไฟไหม้ เสียชีวิต 9 ศพ” หรือติดๆ กันนั้น ก็มีข่าว “รถตู้เจ้าหน้าที่ รพ.อุดร ตกเหว ตาย 4 ศพ” “คณะทัวร์ บัสท่องเที่ยวคว่ำที่มาเลเชีย เสียชีวิต 27 ศพ” รวมทั้ง “กระบะหลับใน ชนตอหม้อดับ 7 ศพ” ซึ่งเป็นวันเดียวกับข่าวรถตู้ โดยทั้งหมดเป็นข่าวใหญ่อยู่ 1-2 วันก่อนจะเงียบหายไป
แต่กรณีนี้ได้สร้างความรู้สึกร่วมและการมีส่วนร่วมให้กับคนในสังคมได้เป็นอย่างมาก
ทุกคนล้วนแสดงความรู้สึกร่วมว่า เป็นการสูญเสียบุคคลที่เป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติ ไม่ว่าจะเป็น ดร.ศาสตรา เช้าเที่ยง นักวิทยาศาสตร์ประจำ สวทช. หรือ นักวิจัยจากไบโอเทค รวมไปถึงความสูญเสียอาจารย์ นิสิตนักศึกษา ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในขณะเดียวกัน คนส่วนใหญ่แสดงท่าที “รับไม่ได้” กับคู่กรณีที่เป็นวัยรุ่น อายุเพียง 17 ปี ไม่มีใบอนุญาตขับรถ แต่ออกมาขับขี่ในช่วงกลางคืนบนทางด่วน
ปกติแล้ว เรื่องของอุบัติเหตุทางถนนที่ผ่านมา มักเป็นเรื่องของ 2 ฝ่าย คือ “ผู้เสียหาย กับ คู่กรณี” แต่เหตุการณ์นี้ ได้มีฝ่ายที่ 3 คือ “สังคม” เข้ามาเกี่ยวข้องร่วมด้วย
สังคม ในกรณีนี้ ประกอบด้วย (1) คนที่ใกล้ชิดกับเหยื่อ/ผู้เสียหาย ที่อยากเห็นความเป็นธรรม เช่น คณาจารย์-เพื่อนนักศึกษา (2) คนที่รับรู้ความตัวเองก็มีโอกาสเสี่ยง เช่นเดียวกับผู้เสียชีวิต เพราะต้องโดยสารรถตู้เช่นกัน เพราะไม่มีทางเลือกอื่นๆ และกลุ่มที่ (3) คนที่ใช้รถใช้ถนน ที่รับไม่ได้กับ “มาตรฐานของระบบที่เป็นอยู่” ไม่ว่าจะเป็นระบบการจัดการความปลอดภัย ระบบยุติธรรม ซึ่งบางส่วนเชื่อมโยงเรื่องความเป็นธรรม เข้ากับเรื่องของ “ชนชั้น” หรือ สองมาตรฐานของสังคม
กระแสเรียกร้อง “ความเป็นธรรม และ ความปลอดภัยในการเดินทาง” ก่อตัวมานานพอสมควรแล้ว แต่ที่ยังขาดอยู่คือ “การจุดไฟ” ให้ติดและ “แรง” พอที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของ “ระบบความปลอดภัย : Safe System” เพื่อสร้าง “ความเป็นธรรม และ ความปลอดภัยในการเดินทาง” มากกว่าที่เป็นอยู่
ทัศนะของประชาชนต่อความปลอดภัยในการเดินทาง พบว่า เรื่องของอุบัติเหตุทางถนนและระบบขนส่งที่ขาดประสิทธิภาพ เป็นปัญหาสำคัญอันดับแรก
ขณะที่ผลสำรวจความเห็นประชาชนของ สวนดุสิตโพล์ เมื่อ 28-31 ธันวาคม ที่ผ่านมาได้สำรวจความเห็น ประชาชนเขตกรุงเทพและปริมณฑล จำนวน 1,161 คน ในเรื่อง “อุบัติเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่” พบว่า ร้อยละ 36.14 เห็นว่า กรณีอุบัติเหตุรถยนต์ซีวิคเฉี่ยวชนรถตู้ จนมีผู้เสียชีวิต 9 รายเป็นข่าวใหญ่ที่สร้างความสะเทือนใจให้กับสังคมในช่วงท้ายปี ร้อยละ 25.98 เห็นเป็นการสูญเสียทรัพยากรบุคคลที่มีความรู้ความสามารถและแสดงความเสียใจ ร้อยละ 17.58 อยากให้เป็นอุทาหรณ์ให้ผู้ขับขี่ระวังมากขึ้น ร้อยละ 12.27 อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีอย่างยุติธรรม ตรงไปตรงมา
ขณะที่ผลสำรวจของเอเบคโพล์ จำนวน 1,204 คน เมื่อเดือนตุลาคม 2553 ก่อนหน้านั้น ประชาชนส่วนใหญ่ (ร้อยละ 70.7) เห็นว่า ตนเองมีความเสี่ยงที่จะได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบน ท้องถนน นอกจากนี้ ประชาชนอยากเห็นระบบการทำงานของคดีจราจรที่เป็นธรรมมากขึ้น ดังจะเห็นได้จาก ร้อยละ 58.5 อยากเห็นตำรวจหา “สาเหตุที่แท้จริง” ของอุบัติเหตุทุกครั้ง ไม่ใช่รอการไกล่เกลี่ยกับคู่กรณีเพียงอย่างเดียว
ทั้งนี้ ประชาชนอยากเห็นการสืบสวนหาสาเหตุ-ความจริง ที่ตรงไปตรงมา ของตำรวจเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับ ผู้เสียหาย – คู่กรณีที่จะช่วยนำมาสร้าง “ระบบความปลอดภัย และ ความเป็นธรรม” ให้กับคนในสังคมโดยเน้นทั้ง 2 ระดับ คือ
(1) หาว่าอะไรคือสาเหตุของการเกิดเหตุในครั้งนี้ เช่น การขับเร็ว ตัดหน้ากระชั้นชิด เมาแล้วขับ ฯลฯ
และ (2) อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บและเสียชีวิต เช่น การที่มีวัตถุอันตรายข้างทาง รถและอุปกรณ์ในตัวรถไม่ได้มาตรฐาน หรือ คนนั่งไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ฯลฯ รวมทั้งข้อมูลแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับข้อกฎหมาย เช่น การมีใบอนุญาตขับรถ หรือ กรณีอายุไม่ถึงแต่มาขับรถ ก็จะเกี่ยวข้องทั้ง พรบ.จราจรทางบก 2522 และ พรบ.คุ้มครองเด็กและเยาวชน 2546 ที่เจ้าของรถ และผู้ปกครองจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
แต่ในทางปฏิบัติในปัจจุบัน การสืบสวนข้อมูล มักจะเน้นเฉพาะระดับแรก โดยส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของคนขับเป็นหลัก ดังจะเห็นได้จากคดีอุบัติเหตุจราจรกว่า 1 แสนคดีต่อปี สาเหตุเกือบทั้งหมดจะเกี่ยวข้องกับคนขับ เช่น ขับรถเร็ว (ร้อยละ 20-25) ตัดหน้ากระชั้นชิด ฝ่าฝืนสัญญาณไฟ ไม่มีใบอนุญาตขับรถ ฯลฯ
ดังนั้นเพื่อสร้าง “ระบบความปลอดภัย” ให้กับสังคม ตำรวจจำเป็นต้องเพิ่มการสืบสวนสาเหตุการบาดเจ็บรุนแรง รวมทั้งเพิ่มการวิเคราะห์ข้อมูลในภาพรวม (ของคดีต่างๆ) เพิ่มมุมมองและมิติด้านอื่น ๆ โดยเฉพาะปัจจัยเชิงโครงสร้าง สังคม-วัฒนธรรม ร่วมด้วย หน่วยงานที่รับผิดชอบ และผู้ใกล้ชิดกับปัญหา ควรให้ความสำคัญและเร่งหามาตรการป้องกัน ใช้ “บทเรียน” ของเหตุการณ์ในครั้งนี้ สร้าง “ระบบความปลอดภัย และ ความเป็นธรรม” เพิ่มมากขึ้น ได้แก่
(1) ยกระดับคุณภาพใบอนุญาตขับรถให้มีคุณภาพ ตั้งแต่ กระบวนให้ความรู้ (ไม่ต่ำกว่า 15-30 ชั่วโมง) การมีระบบใบอนุญาตตามลำดับขั้น โดยเฉพาะ “ผู้ได้รับใบอนุญาตขับรถชั่วคราว” จำเป็นต้องมีเงื่อนไขที่สร้างความปลอดภัยให้กับสังคม (ในหลายประเทศ ผู้ขับขี่กลุ่มนี้จะไม่ได้รับอนุญาตขับเวลากลาง คืน , ขับบนทางด่วน , ต้องมีผู้กำกับ supervision ถ้าต้องขับในต่างจังหวัด) รวมทั้งมีมาตรการกำกับ และ ลงโทษเมื่อกระทำผิดอย่างเคร่งครัด
(2) มีกระบวนการตรวจสอบและกำกับ “นักขับที่อายุน้อย” ว่าจะต้องมีใบอนุญาตขับรถเท่านั้นจึงจะนั่งหลังพวงมาลัยได้ ครอบครัวต้องเข้ามามีบทบาทที่สร้างค่านิยมให้ บุตร-หลาน ว่า รถยนต์ เป็นยานพาหนะเพื่อการเดินทาง มิใช่การแสดงอัตลักษณ์ ฐานะ หรือแค่ของขวัญ” รวมทั้งการสร้างค่านิยม “ขับขี่ด้วยความรับผิดชอบกับสังคม”
(3) กระบวนการสืบสวนสาเหตุ “อุบัติเหตุทางถนน” ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติควร ได้รับการให้ความสำคัญอย่างจริงจัง เพื่อให้ได้ “สาเหตุที่แท้จริง รวมทั้งข้อมูลที่จะช่วยแก้ปัญหาทั้งระบบ” เพราะนอกจากจะสร้าง “ความเป็นธรรม” ให้กับทั้งสองฝ่ายแล้ว .. ข้อมูลที่ได้จากทุก ๆ คดี หรือทุกๆ ความสูญเสีย จะเป็นบทเรียนให้นำมาหาทางป้องกันแก้ไขเพื่อสร้างความปลอดภัย
(4) หน่วยงาน/องค์กร และ ภาคสังคม ร่วมสร้างความปลอดภัยในการเดินทาง โดยภาครัฐต้องพร้อมสนับสนุน อาทิ ด้านข้อมูล ช่องทางตรวจสอบ และฟ้องร้องหรือแจ้งข้อมูลถ้าพบเรื่องที่ต้องสงสัย ฯลฯ (เช่น ตอนนี้ ม.ธรรมศาสตร์ มีกลุ่ม TU Accident Watch และช่วยกันหาระบบกำกับมาตรฐานความปลอดภัยรถตู้ ที่ให้บริการบุคลากร-นักศึกษา เป็นต้น)
แม้ว่า “โศกนาฏกรรม” ในครั้งนี้ อาจจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย แต่ถ้าเหตุการณ์ในครั้งนี้ จะเป็นครั้งแรกที่ จุดไฟให้กับสังคมและหน่วยงานที่รับผิดชอบ ต้องหันมาสร้าง “ระบบความปลอดภัย และ ความเป็นธรรมในการเดินทาง” ก็ถือเป็น “จุดเริ่ม” ที่สำคัญของ “ทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน : Decade of Action for Road Safety 2011-2020” ที่ประเทศไทยและทุกประเทศทั่วโลกรวมกันกำหนดเป้าหมาย “ลดการตายบนท้องถนนลงครึ่งหนึ่ง” ในอีก 10 ปีข้างหน้า
นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน
