แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
"พอเพียง-พึ่งตนเอง" ศาสตร์พระราชานำทาง เรียนอย่างไรก็ไม่จบ
จากการพัฒนาประเทศด้วยระบบทุนนิยม มุ่งเน้นให้เสรีภาพแก่ภาคเอกชนดำเนินกิจการทางเศรษฐกิจ แข่งขันเพื่อให้ได้มาซึ่งผลกำไรเป็นหลัก จนก่อเกิดผลกระทบตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่เกิดจากการมีฐานะ เงินทอง การศึกษาไม่เท่ากัน ผู้ที่มีเหนือกว่าย่อมได้เปรียบผู้ที่ด้อยกว่า เมื่อตัวเลขการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจยิ่งสูง ภาวะการขาดแคลนยิ่งมีมากขึ้น และการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติก็จะตามมา
ดังจะเห็นได้จากวิกฤตการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งในสังคมไทยและสังคมโลก เช่นวิกฤตต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540 หรือแม้แต่วิกฤตแฮมเบอเกอร์ ที่เกิดเมื่อปี 2551 และที่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ วิกฤติหนี้สินก้อนใหญ่ ของดูไบเวิลด์ ปัญหาเหล่านี้ทำให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้างไม่ว่าจะเป็น ภาวะคนตกงาน ปิดบริษัท การตัวตาย มีหนี้สิน
แต่ใช่ว่าเมื่อเกิดวิกฤตการณ์แบบนี้แล้วจะหาทางออกไม่ได้ ถ้าลองหันมามองและค้นหาก็จะพบว่า ยังมีทางออกทางแก้อีกหลายทาง หนึ่งในนั้นคือการน้อมนำพระราชดำริ “เศรษฐกิจพอเพียง” มาปรับใช้เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินชีวิต ให้อยู่ในโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงได้อย่างสมดุล
ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร หรือ ‘อาจารย์ยักษ์’ ประธานสถาบันเศรษฐกิจพอเพียงและประธานมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ ผู้เคยรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท รับราชการใกล้ชิดกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในหน่วยงานสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) สำนักนายกรัฐมนตรีกว่า 16ปี กล่าวถึงโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ ว่า ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการเกษตร เช่น การปลูกพืช การเลี้ยงสัตว์ ทำนาข้าว ปรับปรุงดินและน้ำ ปลูกพืชป่าและสมุนไพร ปลูกหญ้าแฝก และอีกมากมาย แต่ที่พระองค์ทรงเน้นคือให้เกษตรกรและประชาชนรู้จักการพึ่งตนเอง และได้พระราชทาน “ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง”
“พระองค์ท่านทรงเคยมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงไว้เมื่อปี 2525 ที่ศูนย์การศึกษาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริว่า งานที่เรากำลังทำ ทำไปเถอะ คนเขาจะยังไม่รู้หรอกว่าสิ่งนี้มีค่า แต่เมื่อเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไป จนถึงวันที่เขาเห็นความจำเป็น เขาจะมาศึกษาเอง สิ่งที่พระองค์ได้ตรัสไว้ในวันนั้น ปัจจุบันนี้ได้ส่งผลแล้ว โลกทั้งโลกต่างลุกขึ้นเตือน ไม่เว้นแต่ละวันว่า มนุษย์จะอดอาหารตายกันเป็นจำนวนมาก ประชาชน 2 พันล้านคนเกือบครึ่งโลกไม่มีอาหารจะกิน ดังนั้นเราจะต้องเรียนรู้เรื่องเศรษฐกิจแบบพอเพียง มิฉะนั้นจะอดตาย ดังคำกล่าวที่ว่า “เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาสิของจริง”อดีตข้าราชการ กปร.กล่าว
ดังนั้นเพื่อสนองในพระมหากรุณาธิคุณ ดร.วิวัฒน์ รวบรวมกลุ่มคนในหลาย ๆ อาชีพ ที่มีแนวคิดอุดมการณ์คล้ายกัน นำแนวคิดทฤษฎีใหม่เศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้กับการทำการเกษตรและการดำรงชีวิตให้อยู่รอดได้อย่างยั่งยืน รวมทั้งรณรงค์ให้เกษตรกรเลิกใช้สารเคมี หยุดการพึ่งพาชาติตะวันตก หันกลับมาพึ่งพาตนเอง จนก่อเกิดเป็น “ชมรมกสิกรรมธรรมชาติ” ก่อนจะจดทะเบียนเป็น “มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ” ในปี 2544 รวมถึงมีการจัดตั้ง “สถาบันเศรษฐกิจพอเพียง” ปี 2545
“เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการแก้วิกฤตชาติโดยการน้อมนำศาสตร์ของพระราชามาสู่การปฏิบัติ สนับสนุนให้ชุมชนพึ่งตนเองได้ พึ่งพาอาศัยกันและการพึ่งพิงกันกว้างขวางยิ่งขึ้นตามแนวพระราชดำริ เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวทฤษฎีใหม่ และจากการเผยแพร่ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงไปยังภาคส่วนต่างๆในสังคม ทำให้ทุกวันนี้มีประชาชน เกษตรกร ภาครัฐ ภาคเอกชน คนรุ่นใหม่หันมาดำเนินชีวิตใช้วิถีพอเพียงโดยศาสตร์พระราชานำทางมากขึ้น”อ.ยักษ์ กล่าว
นอกจากนี้ นายปัญญา ปุลิเวคินทร์ ผู้อำนวยการศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ มูลนิธิชัยพัฒนา กล่าวถึงวิถีชีวิตแบบพอเพียงว่า สามารถทำให้คนพึ่งตนเองได้ การที่จะนำแนวพระราชดำริของพระเจ้าอยู่มาใช้ต้องทำอย่างจริงจัง เพราะสิ่งที่พระองค์ท่านรับสั่งตั้งอยู่บนหลักวิชาการ แต่ก็ไม่ยึดติดกับหลักวิชาการมากเกินไปจนทำให้ประชาชนนำมาปฏิบัติไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องความพอเพียงที่ทุกภาคส่วนให้ความสำคัญมากขึ้น
1ไร่1ล้านสไตล์ผู้ใหญ่สมศักดิ์
หนึ่งในผู้ที่ประสบความสำเร็จจากการนำเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิต คือ ผู้ใหญ่สมศักดิ์ เครือวัลย์ ประธานศูนย์กสิกรรมธรรมชาติสองสลึง จ.ระยอง เกษตรกรผู้ที่เคยเป็นหนี้หลายล้านจากการทำสวนทุเรียน แต่วันนี้กลับมาสู้และมีชีวิตที่มีความสุขอีกครั้งด้วยการทำตามพระราชดำริในหลวง และจากการลองผิดลองถูกด้วยตนเอง
ผู้ใหญ่สมศักดิ์ เล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนคิดแต่ว่าจะทำอย่างไรถึงจะรวย มองแต่คนอื่นที่มีฐานะดีกว่า พอคิดแบบนี้ก็ทำให้จิตใจเพ้อฝันไปไกล ไม่ได้มองตัวเองเลยว่าจะทำได้หรือไม่หรือว่าเหมาะกับตัวเราหรือเปล่า ในที่สุดก็ล้มเหลวจนไม่มีทางเลือก สำหรับเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงนั้นเคยได้ยินได้ฟังมาบ้างแต่ไม่สนใจ ไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริงสามารถแก้ไขปัญหาการทำกินได้ แต่สุดท้ายเมื่อไม่มีวิธีอื่นแล้วก็ตัดสินใจลงมือทำ
“เมื่อทำแล้วรู้สึกว่าเหมือนย้อนยุคไปสู่อดีตอีกครั้ง ที่เราไม่ต้องออกไปหากินก็มีอยู่มีกิน แต่ก่อนที่จะทำเราต้องถามตัวเองก่อนว่าสู้ไหม ถ้าจะทำต้องลงมือทำเลย การทำเศรษฐกิจพอเพียงถ้าทำจริงๆก็สามารถทำให้รวยได้ ไม่ใช่การรวยเงินทอง แต่รวยปัจจัย 4ที่เรามีอยู่ในสวนในบ้านของเรา” ผู้ใหญ่สมศักดิ์ กล่าว
สำหรับการทำเกษตรแบบพอเพียงสไตล์ผู้ใหญ่สมศักดิ์ นั้นถอดแบบมาจากหลักทฤษฎีใหม่ของพระเจ้าอยู่หัวเรื่องปลูกป่า 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่าง แต่นำมาปลูกในพื้นที่ 1 ไร่เพื่อให้เป็นแบบอย่างแก่คนทั่วไปได้รู้ว่า แม้จะปลูกในที่ 1 ไร่ก็สามารถสร้างเงินล้านได้ ซึ่งป่า 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่างนั้น คือ การปลูกป่ากินได้ ป่าไว้ใช้สอยและพลังงาน และป่าเศรษฐกิจ สำหรับประโยชน์คือ การสร้างความสมบูรณ์และก่อให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพ นอกจากนี้ในพื้นที่ยังมีการทำเกษตรปลูกผัก ทำนา เลี้ยงไก่เลี้ยงหมู บนพื้นที่ 50 ไร่และยังมีการสร้างศูนย์กสิกรรมธรรมชาติสองสลึง เพื่อให้เป็นที่เรียนรู้แก่เด็ก เยาวชนประชาชนทั่วไป
“ในเมื่อเราเอาตัวรอดได้แล้ว เราต้องช่วยแบ่งปันคนอื่น การเรียนรู้เรื่องแนวพระราชดำริของในหลวงเรียนอย่างไรก็ไม่จบ เพราะศาสตร์การเรียนรู้ของพระองค์สามารถเปลี่ยนแปลงตามพื้นที่ที่ลงมือทำ ที่เปรียบเสมือนกับมหาวิทยาลัยชีวิต”ประธานศูนย์กสิกรรมธรรมชาติสองสลึง กล่าวอย่างภาคภูมิใจ
ลุงนิล คอนโดเกษตร 9 ชั้น
ขณะที่นายสมบูรณ์ ศรีสุบัติ หรือลุงนิล ได้เล่าประสบการณ์อันโชกโชนก่อนที่จะมีชีวิตพออยู่พอกินในวันนี้ให้ฟังว่า เมื่อก่อนมีอาชีพเป็นกุ๊กทำอาหารและมีร้านอาหารเป็นของตัวเองทั้งที่ จ.ชุมพรและที่อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ แต่ด้วยความที่อยากจะกลับไปทำสวนทุเรียน 17 ไร่ที่จ.ชุมพรบ้านเกิดแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จึงต้องขายร้านอาหารที่มีอยู่เพื่อนำเงินไปลงทุนเพื่อต่อสู้ในการทำสวนทุเรียนให้ประสบความสำเร็จให้ได้ เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดทุเรียนเกิดตายเกือบหมดสวน ต้องไปซื้อยามาทาและทำให้เป็นหนี้ก้อนโต จนท้อแท้กับชีวิตจนถึงขั้นคิดจะฆ่าตัวตาย
“มีอยู่ 2 ทางเลือกคือฆ่าตัวตายและขายสวน ถ้าขายสวนลูกก็จะไม่มีที่อยู่ ถ้าเราตายลูกก็จะได้เงินประกัน จึงเลือกฆ่าตัวตาย แต่ก่อนที่จะลงมือเห็นลูกชาย ที่คิดจะฆ่าตัวเองก็ทำไม่ลง เนื่องจากรักลูก ตอนเย็นวันนั้นคือวันที่ 4 ธันวาคม 2540 เปิดทีวีเจอในหลวงมีพระราชดำรัสถึงเศรษฐกิจพอเพียงและการกู้เงิน ก็โดนใจ จึงตั้งปณิธานไว้ว่า ต่อไปนี้เราจะตามรอยเท้าพ่อ จากวันนั้นถึงวันนี้ได้ยึดหลักการดำเนินชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงมา 13 ปีแล้ว”ลุงนิล กล่าว
การเริ่มต้นการใช้เศรษฐกิจพอเพียงนั้น ลุงนิลบอกว่า เริ่มจากการอุดรูรั่ว ไม่ใช่สารเคมี และการทำเกษตรแบบคอนโดเกษตร 9 ชั้นบนเนื้อที่ 17 ไร่ “เริ่มจากชั้นแรกจะขุดสระน้ำเลี้ยงปลา ปลูกพืชน้ำ ชั้นที่สองจะปลูกพืชหัวทั้งหมด เช่น ขมิ้น กระชาย กลอย ชั้นสามปลูกสมุนไพร พรอกขี้หนู ฟ้าทะลายโจร ชั้นที่สี่ปลูกส้มจี๊ด ชั้นที่ห้าปลูกกล้วยเล็บมือนาง เลี้ยงหมูเพื่อขายลูก ชั้นที่หกปลูกทุเรียนหมอนทอง ชั้นที่เจ็ดปลูกพริกไทยใต้ต้นทุเรียน ชั้นที่แปดปลูกไม้ใช้สอยกว่า 1,400 ต้น และชั้นที่เก้า ปลูกไม้ยางนาเพื่อถวายพระเจ้าอยู่หัว สิ่งที่เราทำทำให้เกิดรายได้ตลอดทั้งปี เหลือกินเหลือใช้ และสามารถพึ่งพาตนเองได้”ลุงนิลกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงใจ
นอกจากนี้ลุงนิลยังใช้พื้นที่ทั้ง 17 ไร่ตั้งเป็นศูนย์เตรียมการกสิกรรมธรรมชาติบ้านทอนอม อ.ทุ่งตะโก จ.ชุมพร เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และเพื่อเพาะเมล็ดพันธุ์เศรษฐกิจพอเพียงให้งอกเต็มแผ่นดิน
“ช้องนาง” น้ำยาอเนกประสงค์ ผลผลิตอดีตสาวออฟฟิศ
ใช่จะมีแต่เกษตรกรชาวบ้านธรรมดาเท่านั้นที่นำทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ อดีตสาวออฟฟิศจากบริษัทโฆษณายักษ์ใหญ่ อย่าง‘พี่ปลา’ เพ็ชราทิพย์ คุ้มประยูร ก็หันมาใช้วิถีชีวิตแบบพอเพียงเช่นกัน
พี่ปลา เล่าให้ฟังว่า เริ่มจากการเกิดวิกฤตฟองสบู่แตกทำให้ต้องออกจากงาน หลังจากนั้นก็หันมาประกอบอาชีพอิสระ เช่น รับออกแบบนามบัตร โปสเตอร์ และช่วยพี่สาวตัดเย็บเสื้อผ้า ซึ่งขณะที่ทำงานนี้ก็ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจเรื่องสารเคมีด้วย เนื่องจากในเนื้อผ้าจะมีสารเคมีปะปนอยู่ และใช้สารเคมีในการซักล้าง
“ตอนที่เห็นอาจารย์ยักษ์ ออกทีวีที่เสนอเกี่ยวกับความพอเพียงการประกอบอาชีพ จึงเกิดความสนใจ ตามไปที่ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้อง จ.ชลบุรี เพื่อเรียนรู้เรื่องการทำน้ำยาซักผ้าโดยการใช้จุลินทรีย์ หลังจากนั้นก็กลับมาทดลองทำลองผิดลองถูกจนประสบความสำเร็จ”
อดีตสาวออฟฟิศ กล่าวถึงน้ำยาอเนกประสงค์ที่ทำว่า เป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดลดปริมาณสารพิษเพื่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม สูตรที่ปรับปรุงขึ้นนี้เป็นสินค้าให้เหมาะกับผู้ที่แพ้สารเคมีจากผงซักฟอกและเพื่อให้เหมาะกับคนเมือง นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆอีก ได้แก่ น้ำยาซักผ้าขาวที่ทำจากมะละกอ น้ำยาซักผ้าสีจากสับปะรด น้ำยาล้างจานจากมะนาว น้ำยาซักแห้งจากสับปะรดและสบู่เหลวทำจากมะละกอสุก การจัดจำหน่ายจะเป็นแบบปากต่อปาก จะทำตามที่ลูกค้าสั่ง รวมถึงการส่งตามร้านซักรีด และเพื่อนนำไปขายที่ตลาดนัดบ้าง สามารถทำเป็นอาชีพเสริมได้อีกทางหนึ่ง ทุกวันนี้จึงมีความสุขทำแบบค่อยเป็นค่อยไป มีความสุขแบบพอเพียงสามารถเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้
จากบุคคลตัวอย่างที่เคยล้มเหลวในชีวิต แล้วสามารถลุกขึ้นได้อีกครั้งจากดำเนินชีวิตแบบพึ่งตนเองตามวิถีพอเพียง เป็นเครื่องยืนยันว่า แนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง เป็นศาสตร์พระราชานำทาง พระราชทานให้แก่ประชาชนชาวไทย ทุกคนสามารถนำมาปฏิบัติได้จริง สร้างงานสร้างสัมมาชีพเต็มพื้นที่ และสร้างชีวิตที่มีความสุขได้