แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
ชำแหละระบบการศึกษาไทย ทั้งบีบรัด คาดคั้น แข่งขัน ช่วงชิง
ระบบการศึกษาไทยเป็นปัญหาที่ใหญ่มาก มีบุคคลมากมายพยายามแก้ไขปรับปรุง แต่ก็ไม่รู้จะแก้ที่ตรงไหน เริ่มที่ตรงไหน ปรับปรุงกันหลายครั้งหลายหน ก็ยังไม่สามารถปฏิรูประบบการศึกษาให้ไปได้ไกลอย่างใจนึก นพ.ประเวศ วะสี ราษฏร อาวุโส เห็นว่า ที่ประเทศไทยมีปัญหาใหญ่ๆ ติดค้างมากมาย ส่งผลให้การพัฒนาประเทศสะดุดจนไม่สามารถดำเนินต่อไปได้นั้น ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดมาจากเรื่องการศึกษา ฉะนั้นระบบการศึกษาไม่ควรทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาวต่อความเจ็บป่วยของชาติ
การศึกษาเป็นเส้นทางแห่งความทุกข์
สำหรับผู้ที่ทำคุณประโยชน์ด้านการศึกษา เป็นทั้งนักคิด นักเขียน นักวิจารณ์ ศาสตราจารย์กิตติคุณสุมน อมรวิวัฒน์ ราชบัญฑิต ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น “ครูแห่งครู” ในวงการการศึกษา เล่าให้ฟังว่า กว่าค่อนชีวิตที่อยู่ในวงการศึกษาไทย จะถูกว่ามาโดยตลอด ที่เมืองไทยเป็นเช่นนี้ เพราะการศึกษาเป็นเช่นนี้
ซึ่งเมื่ออาจารย์สุมน รับฟังด้วยจิต ก็พบว่า ที่การศึกษาเป็นเช่นนี้ เพราะการศึกษาเป็นเส้นทางแห่งความทุกข์ ทั้งบีบรัด คาดคั้น แข่งขัน ช่วงชิง
“ ชีวิตของมนุษย์ไม่ใช่พืชผักที่ปลูกตรงไหนจะอยู่ตรงนั้น ชีวิตมนุษย์เติบโตและเรียนรู้ไปตลอดเวลาโดยไม่คำนึงถึงกาลเวลา ไม่คำนึงถึงระยะทาง”
จากการสอนศิษย์ด้วยจิตวิญญาณมากว่าครึ่งศตวรรษ อาจารย์สุมน มองผ่านแว่นของความเป็นครู ไล่เรียงคำเพื่อให้เห็นว่า การศึกษาของเราเป็นความทุกข์อย่างไร ตั้งแต่ คำว่า “จนตรอก” ในเส้นทางของการศึกษา มนุษย์เมื่ออายุ 3 ขวบ ตั้งแต่อนุบาลเมื่อเข้ามาสู่เส้นทางแคบๆ มีกำแพงกั้นไว้ 2 ข้าง เมื่อเดินไป วิ่งไป ก็ถึงทางต้น มีกำแพงใหญ่กั้นขวางหน้าอยู่ กลายเป็นคนจนตรอกจำนวนมากขึ้นรับปริญญา
“จนมุม” อาจารย์สุมน บอกว่า ยิ่งกว่าจนตรอก มีมุมแหลมบีบคั้นเข้ามาในชีวิต ไปทางไหน ขยับตัวก็ไม่ได้ สังคมไทยมีคนจนมุมจำนวนเยอะ เตลิดไปทางไหนก็ไม่ได้ เมื่อจนมุมแล้ว “จนปัญญา” คิดไม่ออกบอกไม่ถูก จนเกิดอาการ “จนแต้ม” ไพ่ใบสุดท้ายทิ้งไปแล้วยังไม่ชนะ เลย“จนใจ”ยากจนกว่าอะไรทั้งหมด คิดได้แต่ทำไม่ได้ จนใจแล้ว “จำทน” ไม่รู้จะทำอย่างไร
อาจารย์สุมน ชี้ให้เห็นว่า ในกระบวนการศึกษานักเรียนต้องจำทน ตั้งแต่ชั้นประถมยันปริญญาเอก เมื่อจำทนแล้วก็ “จำใจ” ต้องเรียนต่อไป จำใจแล้วก็ “จำนน” ต่อประกาศิตของผู้บริหาร จำนนต่ออำนาจ จำนนต่อครูที่มีอำนาจ เมื่อจำนนแล้ว ทั้งครู นักเรียน ผู้บริหารสถานศึกษา ในกระบวนการศึกษาตกอยู่ในภาวะ “จำยอม”
ปัจจุบันมีคนจำนวนมากพยายามหาทางเลือก หาทางออกของระบบการศึกษา จากประสบการณ์อันยาวนานของอาจารย์สุมน ทำให้เรารู้ว่า สังคมไทยไม่สามารถเปลี่ยนแปลงระดับบนได้อีกต่อไปแล้ว การเปลี่ยนแปลง ต้องเริ่มที่คน ที่สถานศึกษาไม่ใช่จากหน่วยงานระดับนโยบาย
วันนี้ถึงได้เกิดความเคลื่อนไหวอย่างมากเหมือนกองทัพมด มีทั้งความเคลื่อนไหวของโรงเรียนอนุบาลกลุ่มเล็กๆ พยายามออกจากทฤษฎีที่รับมาสู่วิถีพุทธ มีคนจำนวนมากลุกขึ้นสอนลูกของตัวเอง โดยไม่ส่งลูกเข้าโรงเรียน มีคนจำนวนมากคิดถึงวิถีทางช่วยให้คนเกิดการเรียนรู้ มีคนกล้าที่จะเลือกทางออกให้สังคมไทย
การปลูกฝังจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ กำลังเกิดขึ้นในวงการศึกษา หลังจากที่อาจารย์สุมนและหมอประเวศ ต้องไปบรรยายตามที่ต่างๆ ทุกคนได้แต่ซาบซึ้ง แล้วก็ไม่เกิดอะไรขึ้น วันนี้ อาจารย์สุมน เห็นแสงสว่างแล้ว พร้อมกล่าวขอบคุณศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ทำให้พระอาทิตย์ขึ้นที่ศาลายา อย่างน้อยมีมหาวิทยาลัย 25 แห่ง ที่เข้ามาสู่กระบวนการพัฒนาตามแนวคิด Humanized Educare นี่คือแสงสว่างที่จะทำให้มหาวิทยาลัยเป็นของประชาชน
กล้าเลือกจัดการศึกษาสร้างคนให้เป็นคน
ตัวอย่างครูรุ่นเก่า กล้าจะเลือก อย่างครูสุรินทร์ กิจนิตย์ชีว์ หรือ “ลุงรินทร์” ครูแห่งโรงเรียนสาคลีวิทยา จากเมืองเก่าอยุธยา คร่ำหวอดอยู่กับการทำงานเพื่อชุมชนมาอย่างยาวนาน ผู้ร่วมก่อตั้งและชักชวนให้ชาวบ้านมามีส่วนร่วมกำหนดทิศทางการศึกษาของชุมชน สร้างโรงเรียนชุมชนขึ้นตามความต้องการของชุมชน
ครูสุรินทร์ เกริ่นเรื่องราวของตัวเองในอดีต ว่า จบม.6 เข้ามาเป็นครู ทั้งๆ ที่ไม่มีความรู้ทางวิชาครู แต่กล้าที่จะเลือกจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน จากสร้างคนให้เป็นเจ้าคนนายคน สู่การจัดการศึกษาสร้างคนให้เป็นคน
จุดเริ่มต้น มาจากเสียงกัลยาณมิตร ซึ่งเป็นกรรมการสถานศึกษา โพล่งถามขึ้นมาขณะกำลังสอนเด็กให้อ่านหนังสือออก ว่า “เด็กอ่านหนังสือคล่องนะ แล้วเขาอ่านชีวิตออกหรือเปล่า ถ้าอ่านหนังสือออก แต่อ่านชีวิตไม่ออกจะมีความหมายอะไร” คำถามนี้คำเดียว ทำให้ลุงรินทร์ต้องกลับมาใคร่ครวญว่า การจัดการศึกษาทุกวันนี้ครบถ้วนสมบูรณ์จริงหรือไม่ และควรจะทำอย่างไร
ส่วนเรื่อง ป้าล้อม ที่มีอาชีพชาวนา ก็เป็นอีกหนึ่งความประทับใจที่ครูสุรินทร์ บอกเล่าเรื่องราวได้อย่างไม่ตกหล่น ป้าล้อมทำนาบนเนื้อที่ 60 ไร่ แต่เวลาเกี่ยวข้าวเสร็จ แกจะเหลือข้าวเกี่ยวไม่หมดไว้มุมหนึ่งของผืนนา เพี่อทิ้งให้นกหนูกิน
ลุงรินทร์ก็ถามป้าล้อมว่า “นกหนูยังไม่ทันกิน เดี๋ยวคนก็เก็บไปกินหมด” ป้าล้อมตอบกลับมาว่า “ก็แล้วแต่ซิ ฉันพอแล้ว ให้ ใครเอาไปก็ได้ ฉันคืนให้กับพระแม่ธรณี” วันนั้นแม้จะยังไม่คิดอะไร ได้แต่ฟัง รับรู้ จากน้ำใจป้าล้อม ซึ่งเป็นผู้ให้ เป็นวิถีชีวิตเป็นวัฒนธรรม ของชุมชนภาคกลาง ทำให้ครูสุรินทร์รู้ว่า
นี่คือการจัดระบบความสัมพันธ์ระหว่างคนในชุมชน คนที่ไม่มีที่ทำกิน การรู้จักพอรู้จักให้ สะท้อนจิตวิญญาณของชาวนาไทย และทำให้มั่นใจว่า การจัดการศึกษาทำให้คนเป็นคน ต้องไปเรียนรู้ตรงนี้ด้วย
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา การเรียนการสอนเด็ก ของครูสุรินทร์ แทนที่จะให้นักเรียนอยู่แต่ในห้องเรียน จูงเด็กออกไปเรียนรู้กับเกษตรกร ที่แม้จะมีหนี้สินเต็มตัว เสียแผ่นดินที่ครอบครอง แต่ยังรู้จักการให้ มีน้ำใจ ระยะหลังๆ เมื่อโรงงานอุตสาหกรรมเข้ามาในจังหวัด ครูคนเดิมรายนี้ เป็นผู้พาเด็กนักเรียนไปเรียนรู้กับผู้ขายแรงงานที่อพยพมาจากภาคส่วนต่างๆ ของประเทศไทย เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้ว่า ชีวิตจริงของคนฐานรากเป็นอย่างไร พบความจริงของชีวิตให้เด็กตัดสินใจเลือก
ลุงรินทร์ อธิบายแง่คิดให้ฟังอีกว่า กระบวนการจัดการเรียนรู้ ต้องปรับตารางเรียน ไม่ใช่ปรับตารางสอน เน้นการเรียนรู้เพื่อกอบกู้ชุมชนโดยอาศัยเด็กนักเรียนเหล่านี้เข้าไปปฏิสัมพันธ์กับชุมชน สุดท้ายก็พบว่า นักเรียนทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ ส่วนคนที่เรียนรู้ไม่ได้ เพราะจัดการเรียนการสอนที่ไม่ถูกแวว อีกทั้งครูไม่เข้าใจ จนทำให้เกิดช่องว่างระหว่างหัวกระทิและหางกะทิ
และสำหรับเด็กที่เรียนช้าที่สุด ก็ไม่ได้มองข้าม ครูสุรินทร์เห็นว่า ยังสามารถประกอบอาชีพในชุมชนได้ โดยเรียกวิธีนี้ว่า “ปั้นดินให้เป็นดาว แต่เป็นดาวประดับดินอยู่ในชุมชน”
การศึกษาก้าวไปสู่ท้องถิ่น ความฝัน-ความหวัง
เมื่อย้อนกลับมามองแนวคิดเรื่องการกระจายอำนาจการศึกษาไปสู่ท้องถิ่น ที่ผ่านมาเป็นทั้งความฝันและความหวังของคนการศึกษา หลาย 10 ปีผ่านไป วันนี้การศึกษาที่ก้าวไปสู่ท้องถิ่น พระอาทิตย์ขึ้นแล้วในประเทศไทย
รศ.ดร.อุทัย บุญประเสริฐ ผู้อำนวยการหลักสูตรดุษฎีบัณฑิต สาขาการจัดการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวว่า หากกระทรวงศึกษาธิการยังผูกขาดอยู่ มีโอกาสสูงที่ประเทศไทยจะล่มจม เนื่องจากความสามารถไปไม่ถึง สวนทางกันในเมื่อประเทศขยายตัวมาก แต่การศึกษายังติดอยู่ในรูปแบบเดิมๆ
พร้อมยกตัวอย่างให้เห็นว่า ประเทศพัฒนาแล้ว การศึกษาเป็นของท้องถิ่น ที่พ่อแม่ต้องจ่ายภาษีให้กับโรงเรียนสนับสนุนโรงเรียน จ่ายสนับสนุนเทศบาล องค์กรท้องถิ่น และมีการตรวจสอบโดยประชาชน ชัดเจนที่สุดสหรัฐอเมริกาการศึกษาไม่ใช่เรื่องของประเทศ แต่เป็นเรื่องของท้องถิ่น ตรงข้ามกลับประเทศไทยระบบการศึกษาเป็นของรัฐโดยสมบูรณ์
“โรงเรียนในประเทศไทยมี 4 หมื่นกว่าแห่ง เป็นโรงเรียนชนิดเลว 2 หมื่นแห่ง คือ โรงเรียนขนาดเล็กที่ไร้คุณภาพ อยู่ห่างไกล อยู่บนเกาะ อยู่บนดอย อยู่ในที่ที่มนุษย์ไม่ไปถึง แต่มีโรงเรียน เนื่องจากประเทศไทยมีความคิดเรื่องการศึกษาดีมาก จะเอาการศึกษาไปให้ถึงลูกหลานทุกหมู่บ้าน ในประเทศไทยมี 1.5 โรงเรียนต่อหนึ่งหมู่บ้าน มองในแง่การกระจายโอกาสดี แต่เรื่องคุณภาพยังเป็นปัญหา” รศ.ดร.อุทัย ฉายภาพให้เห็น
ขณะที่นายสมพร ใช้บางยาง รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า เป็นความผิดพลาดและล้มเหลวของการพัฒนาที่เรามอบความไว้วางใจหรือการขับเคลื่อนเรื่องการศึกษาโดยอาศัยส่วนกลาง จนถึงวันนี้มีแต่ความถดถอย สิ่งที่ต้องคิด คือสร้างความเชื่อมั่น ท้องถิ่นต้องเข้มแข็ง เป็นหลัก ท้องถิ่นต้องเป็นฐานของบ้านของเมือง
“เราควรปรับเปลี่ยนแนวคิดกันใหม่ การพัฒนาบ้านเมืองใหม่ ต้องมาทำที่ฐาน คือ ประชาชน ชุมชน กับท้องถิ่น เรื่องการศึกษาไปมุ่งทำในเมืองเป็นหลักใหญ่ กระทรวงศึกษาธิการทุ่มเงินให้โรงเรียนในเมืองเป็นหลักใหญ่ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับท้องถิ่นเท่าที่ควร ทำให้ประสิทธิภาพของคนด้อยกว่าคนในเมือง” นายสมพร กล่าว
อย่างไรก็ตามเรื่องจัดการศึกษาโดยท้องถิ่น หลายแห่งปลดแอกจากกระทรวงศึกษาธิการโดยสิ้นเชิงแล้ว เช่น ที่จังหวัดพัทลุง หลักสูตรการศึกษาจัดเอง นำพระไตรปิฎกเป็นตัวตั้ง นำพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาปรับเป็นหลักสูตร เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ทำให้เห็นว่า เมื่อท้องถิ่นมีอิสระ ทำได้ และทำได้ดีด้วย
ท้องถิ่นขยับ จัดการศึกษา ความสำเร็จ-ท้าทาย
สำหรับผู้ผ่านประสบการณ์ช่วงมีการถ่ายโอนการศึกษาสู่ท้องถิ่น เจอเดินขบวนต่อต้านจนเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต นายรังสรรค์ นันทกาวงศ์ นายกเทศมนตรีตำบลบึงยี่โถ จังหวัดปทุมธานี เผยว่า ใจจริงท้องถิ่นไม่ได้อยากรับถ่ายโอนโรงเรียนเข้ามาสังกัด จะงดการช่วยเหลือโรงเรียนก็ทำลำบาก ต้องแอบๆ ซ่อนๆ อุดหนุน จ้างครูมาสอน แต่ละปีเกือบ 2 ล้านบาท อุดหนุนงบฯ สร้างห้องน้ำ ห้องสมุด
เท่านั้นยังไม่พอ ยังพบปัญหาโรงเรียนท้องถิ่นต้องมาแข่งขันกับโรงเรียนของสพฐ. แข่งกันเอง คุณภาพก็ไม่ได้เรื่อง ซึ่งในอนาคตหากท้องถิ่นยังเร่งสร้างโรงเรียน นายกเทศมนตรีตำบลบึงยี่โถ เห็นว่า สักวันก็จะไม่มีนักเรียน จะกลายเป็นว่าการลงทุนทั้งหมด เสียเปล่า ซึ่งควรนำเงินลงทุนด้านต่างๆ มาช่วยกันกอบกู้โรงเรียนของสพฐ. จะดีเสียกว่า
อีกหนึ่งผู้นำในท้องถิ่นที่ส่งเสริมสนับสนุนให้เยาวชนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึง พ.ต.อ.ธงชัย เย็นประเสริฐ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี เล่าว่า อยู่ในตำแหน่งมา 5 ปี ได้ทุ่มงบประมาณด้านการศึกษามากสุด 60% จากงบฯ ทั้งหมดกว่า 2 พันล้านบาท ทั้งการจ้างครูช่วยสอนสังกัดสพฐ.เขต1 เขต2 ของจังหวัดนนทบุรี 1,300 คน รับเงินเดือน อบจ.นนทบุรี จัดซื้อคอมพิวเตอร์ วางเป้าหมายเด็กจบป.6 ต้องเปิดคอมพิวเตอร์ ใช้อินเทอร์เน็ตเป็น ซื้อเครื่องดนตรี หรือแม้กระทั้งจ้างครูต่างชาติให้ทุกโรงเรียน เพราะมองเห็นความจำเป็น เด็กต้องรู้ภาษาอังกฤษ
ปัจจุบันอบจ.นนทบุรีรับโอนโรงเรียนมาสังกัด 32 แห่ง พ.ต.อ.ธงชัย ระบุว่า เป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ยากรับการถ่ายโอนภารกิจการจัดการศึกษา เพราะเห็นว่า บริหารจัดการยาก อีกทั้งระเบียบปฏิบัติก็ไม่เอื้ออำนวย ยังอยากให้การศึกษาอยู่ที่กระทรวงศึกษาธิการเหมือนเดิม แต่ศธ.ต้องยอมรับความจริง ที่ผ่านมาการพัฒนาด้านการศึกษาของไทยสู้ต่างชาติไม่ได้
“ประเทศไทยมีแผนที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ไม่ได้เสียเปรียบประเทศอื่นในโลก ดินดี น้ำดี อุดมสมบูรณ์ทุกอย่าง แต่ทรัพยากรบุคคลของเราแย่ ประเทศอื่นเอาชาติมาก่อน แต่คนของเราเอาตัวเองมาก่อน องค์กรมาที่สอง เรื่องชาติไว้ท้าย จึงต้องปรับค่านิยม เลิกนิสัยความเห็นแก่ตัว” นายกอบจ.นนทบุรี กล่าว และว่า ทุกคนมีหน้าที่จูงลูกหลานในชุมชน ให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมีคุณภาพ พร้อมกับลูกหลานเราที่เป็นญาติ วันนี้ถ้าทุกคนเป็นคนดีหมด วันหนึ่งข้างหน้าไม่มีขโมย ไม่มีคนไม่ดี กำลังตำรวจที่เคยจ้างเป็นหมื่นเป็นแสนก็จะลดลง สามารถนำเงินไปพัฒนาด้านอื่นได้
กรณีที่การศึกษาของไทยไม่สามารถพัฒนาหรือแข่งขันกับต่างชาติได้ พ.ต.อ.ธงชัย เชื่ออย่างสนิทใจว่า ส่วนหนึ่งเกิดมาจากการกระทำของผู้ใหญ่ที่ไม่รับผิดชอบ อีกทั้ง ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองก็ไม่มองเรื่องการศึกษาเป็นหลัก มองแต่เรื่องเมกะโปรเจ็กส์ หวังจะกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลอีก
แม้กระทั่งความขัดแย้งทางการเมืองที่เห็นอยู่ นายกอบจ.นนทบุรี เห็นว่า มาจากการศึกษาที่ไม่เท่าเทียมกัน ในต่างจังหวัดมีโรงเรียนดีๆ น้อยมาก โรงเรียนตามอำเภอก็คุณภาพไม่เท่าเทียมกัน เมื่อคุณภาพการศึกษาไม่เท่าเทียมกัน การรับรู้ข้อมูลข่าวสารก็ไม่ได้เท่ากัน ความคิดไปคนละทาง เกิดความแตกแยก เสื้อเหลือง-แดงเป็นอุทาหรณ์ จะเห็นว่าเสื้อเหลืองอยู่ตามเมืองใหญ่ๆ ชนบทคนละเรื่อง แค่จังหวัดนนทบุรี บ้านจัดสรรไปพรรคหนึ่ง คนรากหญ้าไปอีกพรรคหนึ่ง ทุกอย่างสืบเนื่องมากจากการศึกษาการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ที่ไม่ไปด้วยกัน
“การเรียนหนังสือไม่ใช่การดูหนัง 1 โรงเรียน 1 อำเภอในฝันของกระทรวงฯ ต้องเลิก ต้องทำทุกโรงเรียนให้เป็นโรงเรียนในฝัน ไม่ว่าอยู่ร้อยเอ็ดหรือสวนกุหลาบ มัธยมประถมต้องเป็นมาตรฐานเดียวกัน และที่คุณภาพการศึกษาถดถอยลง ส่วนหนึ่งก็มาจากคุณภาพครู ซึ่งที่ผ่านมาสอบเข้าอะไรไม่ได้ก็ให้ไปเรียนครู”
สุดท้ายเพื่อให้ได้ครูที่มีคุณภาพ สมกับที่ได้ทุ่มเทเรื่องการศึกษามากกว่าทุกท้องถิ่น ปีละไม่ต่ำกว่า 60 % พ.ต.อ.ธงชัย บอกเล่าอย่างภาคภูมิใจว่า อบจ.นนทบุรีก้าวไปอีกขั้นร่วมกับคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ให้ทุนเด็กจังหวัดนนทบุรีไปเรียนครู เพื่อกลับมาเป็นครูอบจ. สอนเด็กในพื้นที่ กลายเป็นครูกู้แผ่นดิน มีเกียรติมีความภูมิใจในตนเอง