แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
8 มุมมองนักการศึกษา: สะท้อนภาพปฏิรูปการศึกษารอบ 2
การศึกษาไทย 10 ปีในอดีต มีผลสรุปออกมาตรงกันหมดคือ การปฏิรูปล้มเหลว ออกอาการน่าเป็นห่วง
เมื่อมองไปในอนาคตอีก 10 ปี ภาพการปฏิรูปการศึกษารอบ 2 นี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศไว้ชัดในงานสมัชชาขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษา เมื่อต้นเดือนมี.ค.ที่ผ่านมาว่า ไม่มีเวลาที่จะสูญเสียไปกับความผิดพลาดในอดีตอีกแล้ว
แต่สำหรับนักการศึกษาคิดเห็นอย่างไร ในวงเสวนาทางวิชาการเรื่อง "การปฏิรูปการศึกษา : 10 ปีแห่งอดีตและ 10 ปีแห่งอนาคต" ที่คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีคำตอบ....
ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช ประธานสถาบันนโยบายศึกษา และอดีตผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย
"ปฏิรูปการศึกษารอบ2 ควรใช้การปฏิรูปการศึกษารอบแรกเป็นบทเรียน การปฏิรูปการศึกษารอบแรกสิ่งที่ได้ คือ การตื่นตัวให้เห็นว่า เรื่องการปฏิรูปการศึกษาเป็นวาระสำคัญ และการให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้ให้หน่วยอื่นๆ ด้านการศึกษาที่มากกว่ากระทรวงศึกษาธิการมาร่วมมากขึ้น
"คิดว่าการปฏิรูปรอบ 2 นี้ต้องมี จุดเน้นคานงัดทำให้การศึกษามีคุณภาพมากขึ้น ต้องมุ่งไปที่ครูและบทบาทของครู ที่ผ่านมาเราไม่เคยมีการพัฒนาครูมากเท่ากับการเพิ่มภาระของครูในแง่การประเมิน ทำรายงาน การปฏิรูปครูเป็นเรื่องสำคัญ ครูต้องมีคุณภาพ การพัฒนาครูต้องทำทุกกระบวนการ การปฏิรูปการศึกษาจะไม่มีอนาคตถ้าไม่ทำกับครูก่อน
"สำหรับครูยุคใหม่ต้องมีบทบาทเป็นผู้ชี้แนะการเรียนรู้และแหล่งการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง ขณะเดียวกันครูต้องมีความรู้รอบตัวที่รองรับการเปลี่ยนแปลงของโลก สอนหรือยกตัวอย่างประกอบได้สอดคล้องกับปัจจุบัน ถ้าโลกของความรู้มีความเป็นสหวิทยาการมากขึ้น ครูต้องรู้ว่าควรจะสอนอย่างไร จะสอนแบบลงลึกรายวิชาโดยที่ไม่รู้วิชาอื่นเลยหรือไม่
"การปฏิรูปการศึกษา ต้องทำเรื่องการจัดการความรู้ ให้มากขึ้น สร้างการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกัน หลักสูตรต้องกำหนดสัดส่วนที่ชัดเจนระหว่างเนื้อหาวิชาการกับการฝึกทักษะผ่านกิจกรรมที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้ เช่น 70: 30 การสอนต้องเน้นปฏิบัติสร้างทักษะการเรียนรู้แบบวิทยาศาสตร์ เช่น ทักษะด้านภาษา คอมพิวเตอร์ การใช้ชีวิต การสื่อสารระหว่างบุคคล ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่นแบบกลุ่ม ฯลฯ เพราะที่ผ่านมาไทยมีสอนใช้ทักษะตรงนี้น้อยมาก ส่วนการบริหารการศึกษาต้องระวังไม่ควรติดกับดักของการปฏิรูปการศึกษาโดยการเปลี่ยนโครงสร้างทางการศึกษาอีก
"และสิ่งที่ควรทำ คือ การถ่ายโอนกระจายอำนาจทางการศึกษาสู่ท้องถิ่น ต้องให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดการโรงเรียนด้วยไม่ใช่แค่ให้เป็นเพียงคณะกรรมการโรงเรียนเท่านั้น รวมทั้งค่าตอบแทนและเงินเดือนครู ก็ต้องมีการปรับ เนื่องจากเงินเดือนครูค่อนข้างจะต่ำมากเมื่อเทียบกับรายได้อาชีพอื่น ประเทศไทยจะเจริญไม่ได้ถ้าตราบใดที่เงินเดือนครูยังต่ำ”
รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ และกรรมการนโยบายปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2
“10 ปีในอนาคตจะเห็นการนำประเด็นการด้อยคุณภาพผลสัมฤทธิ์การเรียนในทุกวิชามาเป็นตัวตั้งในการพัฒนายกระดับคุณภาพผู้เรียนให้ผ่านเกณฑ์55% ทุกวิชา เน้นเรื่องเก่ง ดี มีความสุข คิดวิเคราะห์ มีจิตสาธารณะ แม้จะเป็นเรื่องเข็นครกขึ้นภูเขาก็ตาม การปฏิรูปการศึกษารอบนี้ จะเริ่มเห็นการกระจายอำนาจแบบมีส่วนร่วม ซึ่งเป็นหลักการที่แท้ของการกระจายอำนาจทางการศึกษา โรงเรียนจะเป็นหน่วยสำคัญที่สุดของการศึกษา โรงเรียนขนาดเล็กทั่วประเทศจำนวน 1.4 หมื่นแห่งจะเป็นเป้าหมายของการบริหารจัดการต้องถูกลดจำนวนลง 50% ถ้าไม่โอนให้ท้องถิ่น ก็ต้องจัดการเป็นหมวดหมู่หรือต้องมีรถรับส่งนักเรียนประจำ เรื่องเงินเดือนครูขั้นต่ำต้อง 20,000บาท/ เดือน แม้จะเป็นเรื่องยากที่สุดก็ต้องทำ
"สัดส่วนระหว่างอาชีวศึกษากับสามัญศึกษา ต้องเป็น 60 : 40 จากเดิม 39:61 โรงเรียนรัฐและเอกชนต้องร่วมมือเป็นทวิภาคี 50% ด้านของอุดมศึกษาจะไร้กำกับเป็นอิสระและพึ่งตนเอง จะเห็นภาพรวมของการปฏิรูปครั้งนี้คือ เรื่องการเรียนรู้ตลอดชีวิต
"ขณะที่10 ปีที่แล้วจะเห็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการศึกษา ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของเด็กไทยทุกวิชา 35-50% เห็นการกระจายอำนาจที่ผิดเพี้ยนเป็นเพียงการมอบอำนาจสู่ท้องถิ่นแบบไม่ไว้วางใจ เห็นความอ่อนแอของภาคการเมืองที่เปลี่ยนรัฐมนตรีศึกษาธิการบ่อยมากเฉลี่ยคนละ 1ปี 6 เดือนเท่านั้ นและรัฐมนตรีที่มาทำหน้าที่ไม่มีภูมิหลังทางการศึกษาเลย เมื่อมาดูเรื่องเงินตอบแทนครู ก็มีจุดอ่อน อุดมศึกษาสมัยนั้นผลักดันให้ออกนอกระบบเริ่มเป็นระบบกึ่งธุรกิจอุดมศึกษา และภาพรวมของการปฏิรูปการศึกษาครั้งแรกที่เป็นเพียงเรื่องของการปฏิรูปโรงเรียน
"นายกรัฐมนตรีบอกว่าการปฏิรูปการศึกษาครั้งนี้ต้องจบ ผมเชื่อว่าประเทศไทยจะมีการปฏิรูปการศึกษารอบ3 4 5 ถ้ายังไม่เปลี่ยนวิธีการคิดของคนในกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่ง 76% จัดการศึกษาทั้งประเทศที่มีลักษณะโครงสร้างทางการศึกษาที่ไปข้างหน้า ขณะที่ตัวคุณภาพติดหล่มอยู่อดีตตลอด ซึ่งตัวทรัพยากรต่างๆ ก็ลงไปอยู่ที่ตัวเงินเดือน การจัดการต่างๆ ทำให้คุณภาพผู้เรียนไปไม่ไหน และการปฏิรูปการศึกษาครั้งนี้จะไม่ดีเลยหากเครือข่ายความร่วมมือไม่เข้มแข็ง โดยเฉพาะถ้าใช้ข้อมูลเฉพาะในวงการศึกษาแบบเดิมๆ เพราะล้าสมัยมากในการตัดสินใจเชิงนโยบาย”
ดร.ไพฑูรย์ สินลารัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
“ในการปฏิรูปการศึกษารอบ 2 มี 9 ประเด็นใหญ่ที่ควรพิจารณา คือ 1.ภาพรวมการปฏิรูปรอบ2 นี้ยังไม่มีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรเลย สิ่งที่เสนอมาไม่ว่าใหม่ 4 ใหม่ 5 ยังคงเป็นงานที่ทำเคยชินซ้ำๆไม่ใช่งานปฏิรูป ซึ่งการปฏิรูปการศึกษาต้องนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงคน สังคม และประเทศชาติในอนาคตให้ได้ ดังนั้นกลุ่มคนที่ดูแลเรื่องทิศทางและนโยบายการปฏิรูปต้องกลับมาคิดว่าจะทำอย่างไรให้มีพลัง ไม่เช่นนั้นปฏิรูปหรือไม่ปฏิรูปก็ไม่ต่างกัน 2.ต้องกำหนดเป้าหมายการปฏิรูปให้ชัดเจนให้ตรงกันว่า เก่ง ดี มีความสุขนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งขณะนี้ยังเข้าใจไม่ตรงกัน ต้องกำหนดลักษณะคนไทยในอนาคตให้ชัดเจนว่า ต้องเป็นคนเข้มแข็ง เสียสละ ทำงานหนักเพื่อประเทศและสังคม ถ้าไม่เน้นแบบนี้ก็จะได้คนที่กระจอกงอกง่อย ธรรมดาสามัญ เชื่อผู้อื่นแบบไม่มีเหตุผล เพราะถ้ากำหนดเป้าหมายไม่ชัดเจนต่างคนต่างคิดและทำสุดท้ายจะล้มเหลวแบบรอบแรก
"3.เราพูดกันว่าต้องนำครูเก่งเข้ามาสอนเน้นเรื่องครู ถามว่าได้ครูเก่งมาจะให้ครูทำอะไรบ้าง ถ้าไม่เปลี่ยนกระบวนให้ครูพลิกผันกระบวนการสอนอย่างจริงจังแล้ว ไม่มีทางสำเร็จแม้จะนำครูเก่งเข้ามา ต้องตั้งเป้าการอบรมครูให้ชัดเจนว่า เพื่อเป้าหมายด้านเนื้อหาหรือเพื่อเปลี่ยนแปลงกระบวนการเรียนการสอน ต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์ครูและวิธีคิด ถ้าเป้าหมายการศึกษายังอยู่ที่เนื้อหาวิชาการสอบการปฏิรูปการศึกษาก็จะไม่มีความหมายเลย และอาจต้องเปลี่ยนปรัชญาการผลิตครูใหม่ด้วย
"4.ผู้บริหารสถานศึกษาและผู้บริหารทางการศึกษาต้องจริงจังกระตือรือร้นผลักดันการเปลี่ยนแปลง ทั้งกระบวนการอบรม การคิด การจัดการของผู้บริหารให้เป็นไปเพื่อเด็ก ไม่เป็นผู้บริหารแบบซุนยัดเซ็นที่มีอะไรมาก็ยัดและเซ็นอนุมัติไป หากครูเก่งแค่ไหนแต่เจอผู้บริหารแบบนี้ก็จะหยุดไปโดยธรรมชาติ 5.ถ้าไม่พลิกโฉมอุดมศึกษาประเทศก็จะไม่มีความหมาย เพราะอุดมศึกษาในปัจจุบันยังเป็นแบบบริโภคนิยม เป็นโรงเรียนอาชีพชั้นสูง อยู่เกือบทั้งสิ้น จิตวิญญาณความเป็นมหาวิทยาลัยในการสร้างคนเพื่อการเปลี่ยนแปลง เพื่อการพัฒนา เพื่อเป็นผู้นำในอนาคตเหล่านี้เกือบไม่มีการพูดคุยถกเถียงกันในวงอุดมศึกษาเลย ปัจจุบันไม่ค่อยมีใครพูดถึงวิญญาณของมหาวิทยาลัยแล้ว ทั้งที่มหาวิทยาลัยมีหน้าที่ผลิตคน สร้างสติปัญญา ความเป็นมนุษย์ และสร้างสังคมให้แก่โลกและประเทศนั้น ดังนั้นปฏิรูปรอบ2 ต้องคิดให้ต่างจากเดิม
"6. ต้องร่วมกันคิดทำและเชื่อมโยงการปฏิรูปการศึกษาในทุกระดับ เพราะขณะนี้ทุกคนต่างคิดต่างทำในแต่ละระดับ ซึ่งระดับปฏิบัติต้องมีแนวทางและเป้าหมายที่ชัดเจน มีกรอบการทำงานในแต่ละระดับให้ชัดเจน 7.ยกเลิกระบบวิทยฐานะครูปรับปรุงเกณฑ์วิทยฐานะครู ถ้าไม่เลิกระบบปัจจุบันไม่มีทางสำเร็จ เพราะระบบปัจจุบันเป็นการดึงครูออกจากห้องเรียน ควรให้ผู้บริหารในโรงเรียนมองได้เอง ให้ครูวางระบบการสอนที่ดีให้เด็กอย่างเต็มที่และได้รับผลตอบแทนโดยไม่ต้องพะวงกับการทำผลงานทางวิชาการ
"8.ปรับระบบแอดมิชชั่น (Admission) ต้องเปลี่ยน เพราะการคัดเลือกแบบนี้ไม่ตอบความต้องของมหาวิทยาลัย ทำให้มหาวิทยาลัยต้องคัดเลือกเองโดยการรับตรง และก็ไม่ได้แก้ปัญหาเดิมได้เลย ถ้าไม่เปลี่ยนก็ต้องเลิกไปโดยปริยายและความโกลาหลจะกลับมา และ9. สมศ. ต้องกำหนดคุณภาพการศึกษาให้ชัดเจน ต้องมองว่าผลสุดท้ายของคุณภาพการศึกษานั้นควรจะเป็นอย่างไร จากนั้นค่อยนำไปกำหนดในทางปฏิบัติที่ไม่ซับซ้อนและยุ่งยากจนเกินไป ขอย้ำว่า การปฏิรูปการศึกษาต้องทำให้การศึกษามีพลังในการเปลี่ยนแปลงสังคมและประเทศชาติ ไม่เช่นนั้นจะทำไปทำไม เหนื่อยเปล่าๆ”
ดร.สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(สมศ.)
“ 10 ปีแรกบทเรียนที่ได้เพื่อการปฏิรูปทศวรรษที่ 2 นั้น คือ อย่าทำหลายเรื่อง ทำให้ยากที่จะถึงเด็ก ประเด็นที่อยากให้คิด ทำน้อยเรื่อง แต่ให้ได้ผลมาก ใน 10 ปีแรกได้ยกเครื่องไว้แล้ว ก็อย่าไปยกเครื่องอีก ไม่เช่นนั้นก็จะเหมือนเดิม ดังนั้น การปฏิรูปรอบ2 ต้องโฟกัสเรื่องต่างๆ ดังนี้
"1.งานวิจัยเพื่อพัฒนาหาองค์ความรู้ที่ชัดเจนในการทำให้ครูมีไฟมีพลัง ในการทำงาน โดยต้องหาวิธีการเหล่านี้สร้างแรงบันดาลใจ 3 ด้าน ได้แก่ ทักษะการเรียนรู้นวัตกรรม ทักษะการใช้สื่อและสารสนเทศรวมถึงการรู้เท่าทัน, และทักษะชีวิตและอาชีพ ขณะนี้เรายังติดอยู่ในวังวนเนื้อหาสาระวิชาการซึ่งควรจะหมุนมาที่ทักษะด้วย และ 2. ต้องโฟกัสที่ครูและผู้บริหาร ที่ผ่านมามาเราพลาดพลั้งที่ไม่เอาครูคนแรกมาเข้ากระบวนการ ซึ่งในที่สุดแล้วต้องนำครูคนแรกของเด็ก คือ พ่อแม่ กลับคืนมา มาร่วมกระบวนการเรียนรู้ นำมาร่วมกระบวนการปฏิรูปด้วย และครูคนที่2 ต้องเป็นครูคนใหม่จริงๆ เป็นคนเก่งจริงๆ
"3.ยกเครื่องมาตรฐานการศึกษาทั้งระดับการศึกษาพื้นฐาน อาชีวศึกษาและอุดมศึกษา ต้องปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพการศึกษาให้ชัดเจน จากนั้นค่อยเชื่อมโยงกับหลักสูตร และนำเรื่องCivic Education มาร่วมด้วย 4.ต้องฟื้นความเป็นวิชาชีพชั้นสูงของครู ผลิตครูในระบบปิด เพราะการคัดสรรครูที่ผ่านมาเราพลาดพลั้งมาก คณะครุศาสตร์หรือศึกษาศาสตร์ต้องไม่ผลิตครูในสาขาซ้ำมาทั่วทั้งประเทศ ขณะนี้ไม่มีวิชาชีพชั้นสูงใดผลิตในระบบเปิดเหมือนวิชาชีพครู และต้องฟื้นความเป็นวิชาชีพครูชั้นสูงว่าคืออะไร 5. ต้องผลิตครูพันธุ์ใหม่
"ส่วนเรื่องสสส.ทางการศึกษานั้นก็เห็นด้วยเพื่อการแก้ปัญหาอย่างทันท่วงที ขณะที่การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์การปฏิรูปศึกษารอบ2 นั้นต้องมีหน่วยงานคอยมอนิเตอร์การทำงานและประชาสัมพันธ์อย่างเป็นระบบ ต่อเนื่องให้เห็นกระบวนการทั้งหมดร่วมกัน เช่น ประเทศนิวซีแลนด์ที่ทำเรื่องนี้จริงจังควบคู่การปฏิรูปการศึกษามาเป็นสิบปี”
นาย วัลลภ ตังคณานุรักษ์ เลขาธิการมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก

“การปฏิรูปการศึกษา เรากำลังพูดคนละภาษา คนละเรื่องกับที่ชาวบ้านต้องการ อยากเสนอแบบสั้นๆ คิดว่าไม่ยาก คือ เราต้องกางแผนที่จังหวัดเป็นตัวตั้งในการวางแผนการศึกษาของแต่ละจังหวัด ซึ่งเป็นของจริงของการปฏิรูปการศึกษาไทย ไม่ใช่แค่กางแผนที่ประเทศ เพราะแผนที่ประเทศนั้นเป็นความคิดแบบคนเมือง และถ้าจะกางแผนที่ไปถึงระดับตำบล หมู่บ้านก็จะดีมาก แต่มันจะยากเกินไป คิดว่าตัวจังหวัดจะเป็นคำตอบของการปฏิรูปการศึกษา
"แต่ละจังหวัดมีสติปัญญาของตัวเอง แต่ละจังหวัดไม่ได้มองเรื่องการศึกษาเป็นโซนๆ แต่มองทั้งชุมชน สังคม และการศึกษาไปพร้อมๆ กันหมด นี่เป็นของจริง ถ้าเราใช้ความคิดแบบเมืองจะแก้ปัญหาไม่ได้ ต้องใช้ความคิดจากจังหวัดแก้ปัญหา ส่วนกลางเพียงทำแค่วางกรอบให้แต่ละจังหวัดไป 4-5 ข้อ จากนั้นให้จังหวัดคิดวางแผนแก้ปัญหากันเองต่อไป
"และงบส่วนกลางจากสสส.ทางการศึกษาที่จะเกิดขึ้นนั้นก็ให้แบ่งไปเลยจับหารตามจำนวนจังหวัด โดยไม่ต้องไปคิดแทนจังหวัดว่าจังหวัดเล็ก ใหญ่ต้องได้ต่างกัน โรงเรียนขนาดเล็ก 1.4 หมื่นแห่งทั่วประเทศต้องได้คิดตามแผนของตัวเอง ไม่ใช่ต้องมานั่งทำตามรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ ถามว่าเขาไม่มีสิทธิทำตามแนวทางตัวเองหรือ เพื่อให้เหมาะกับบริบทของแต่ละแห่ง ไม่ใช่ใช้บริบทของคนเมืองเป็นหลักคิดในการปฏิรูป นี่เป็นความจริงที่การศึกษาไทยจะสามารถไปได้งามแบบไทย ถ้าอยากให้เป็นสากลก็วางแกนกลางที่ชัดเจนมาให้หน่อยเท่านั้น”
ผศ.ดร.จุมพล พูลภัทรชีวิน ประธานกรรมการวิจัย ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล
“การปฏิรูปการศึกษารอบนี้มีโอกาสการล้มเหลวสูงมากกว่าที่จะประสบความสำเร็จ เพราะยังมีวิธีการคิดแบบเดิม เพียงแต่คิดบนฐานข้อมูลใหม่ที่ต่างจากเดิมบ้างเล็กน้อย ปัญหาวันนี้ต้องเปลี่ยนวิธีคิด ต้องตัดเปลี่ยนหัวครูและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาทั้งหมดแล้วนำหัวใหม่มาสวม ซึ่งถ้าเข้าใจวิธีคิดตรงนี้อย่างชัดเจน แนวปฏิบัติก็จะตามมา
"นักการศึกษาและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปต้องตระหนักและตอบคำถามใน เรื่อง 4 เรื่องหลัก ดังนี้ 1.ต้องกำหนดให้ชัดเจนว่าอีก 10 ปีข้างหน้าครูต้องเป็นอย่างไรเพื่อให้สอดคล้องกับผู้เรียน เพื่อมากำหนดหลักสูตรต่อว่าจะต้องมีการเรียนการสอนแบบใด เนื่องจากเนื้อหาความรู้รายวิชาในการสอนวันนี้ยังคงเป็นความรู้ในอดีต 95% เนื้อหาปัจจุบัน 4% อีก 1% ที่เป็นเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับอนาคต และผู้เรียนในอนาคตไล่ตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงอุดมศึกษาต้องมีคุณลักษณะ อย่างไร 2.ถ้าคนเรายังติดกับอดีตก็จะไม่พัฒนา ดังนั้นวิธีการคิดต้องเน้นการคิดเพื่อการพัฒนา คิดเพื่อสร้าง ไม่ใช่คิดแค่เพื่อแก้ปัญหา หรือแค่หาวิธีแก้ไข
"3.ดังนั้นนักการศึกษาและผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดต้องเปลี่ยนวิธีคิด ยอมรับ และเคารพวิธีคิดที่คิดถึงความสัมพันธ์เชื่อมโยงองค์รวมของสรรพสิ่ง มากกว่าการคิดแบบแยกส่วน จะทำอย่างไรให้การศึกษามีวิธีคิดที่เชื่อมโยงกับสิ่งอื่นๆ ด้วย และเชื่อมโยงความเป็นชีวิตของมนุษย์ด้วย ถ้าวิชาการนั้นตอบคำถามนี้ไม่ได้มนุษย์ก็ไม่สมควรเรียนวิชานั้น 4.ระบบในการศึกษาที่เป็นอยู่ ทั้งตัวหลักสูตร วิชา การประเมินผลยังขาดหลักการรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้นแทบจะโดยสิ้นเชิง จะทำอย่างไรที่ไม่ใช่แค่ให้การศึกษามุ่งแต่ความเป็นเลิศไล่ให้ทันสิ่งที่เกิดขึ้น เร่งๆ จนในที่สุดหัวใจวายตาย ไม่เคยมีเวลาทบทวนการศึกษาเลยว่า เพื่ออะไร สิ่งสำคัญคือต้องทำให้การศึกษารู้เท่าทันสิ่งที่เกิดขึ้นต่างหาก
"พวกเราส่วนใหญ่ยังถูกครอบงำด้วยระบบทุนนิยมอำมหิต ต้องเน้นที่วิธีคิดเพื่อการเปลี่ยนแปลง การปฏิรูปครั้งนี้ ครูคือหัวใจของการปฏิรูปการศึกษา ผู้เรียนคือเป้าหมาย ซึ่งไม่ควรหวังผลปฏิรูปเพียงระยะสั้น ต้องเน้นระยะยาว เป้าหมายต้องมุ่งที่อนาคต ไม่ใช่ยึดติดกับอดีต ติดกับวิธีคิดที่ยึดข้อมูลเดิม ปัญหาเดิม ระบบการศึกษาของเราปลูกฝังวิธีคิดที่ติดกับอยู่กับอดีตแบบถอนตัวไม่ขึ้น อย่างน่าเสียดาย ทำไมเราไม่เปลี่ยนวิธีคิดให้เราเป็นหนึ่งตามมาตรฐานของตน ทำไมต้องเป็นเลิศในแบบเดียวกัน ไม่เป็นเลิศในทางของตน นี่เป็นวิธีคิดที่ต้องเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง”
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ อาจารย์ประจำวิชาการตลาด สถาบัน บัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
“ระบบการศึกษาไทยต้องเปลี่ยนให้ผู้เรียนสามารถออกแบบการเรียนรู้ของตนเองได้ การศึกษาในอนาคตต้องมุ่งสร้างเด็กไทยให้เน้นกระบวนการมีส่วนร่วมกับผู้อื่น ต้องฟังคนอื่นด้วย และเด็กไทยในอนาคตต้องมีความรอบรู้ ไม่ถูกยัดเยียดในการเรียนรู้ มีทางเลือกในการเรียนรู้ด้วยตนเอง มีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ สามารถสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้เองและอยู่ร่วมกับสังคมอย่างมีความสุขได้
"ในอนาคตต้องสร้างเด็กไทยให้มีจิตอาสา จิตสาธารณะ มีจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์ (Human Wisdom) ขณะนี้สังคมไทยเป็นสังคมที่เปิดรับการเปลี่ยนแปลง แต่ยังไม่ค่อยเปิดใจเท่าใดนัก ในการให้เด็กสามารถคิดออกแบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง ในอนาคตการศึกษาต้องสร้างบริบทใหม่ให้เด็กไทยสามารถเรียนรู้และมองเข้าใจ ความเปลี่ยนแปลงของบริบทแวดล้อมได้
"เด็กไทยต้องรู้เท่าทันข่าวสารการเปลี่ยนแปลง กระบวนการเรียนรู้ของเด็กไทยโดยเป็นการเรียนรู้แบบค้นคว้าวิจัยปฏิบัติให้มากขึ้น (Explorer Experiment) กระทรวงศึกษาธิการอย่าคิดว่าต้องเป็นเจ้าของเรื่องนี้เพียงคนเดียวต้องทำให้ทุกภาคส่วนเข้ามาเป็นเจ้าของด้วย อย่างไรก็ตาม คิดว่าสสส.ทางการศึกษาเป็นเพียงแค่เครื่องมือหนึ่งเท่านั้น”
นายสมหมาย ปาริจฉัตต์ รองประธานกรรมการผู้จัดการบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน)
“การปฏิรูปการศึกษาควรโฟกัสที่เรื่องครูและกระบวนการบริหารจัดการใหม่ ต้องทำในลักษณะของช็อคเทอราปี เพื่อให้เห็นการเปลี่ยนแปลงใหม่ตั้งแต่ครูในและนอกระบบ พ่อแม่ ครอบครัว พระ สื่อสารมวลชน สังคม เช่น เงินเดือนครูต้อง 20,000 บาท/เดือน ต้องมีบัตรขึ้นรถโดยสารฟรี ฯลฯ การบริหารจัดการใหม่ก็ต้องสร้างการมีส่วนร่วม การกระจายอำนาจ การทำให้โรงเรียนเป็นนิติบุคคล ซึ่งต้องเริ่มจากสองสิ่งนี้ก่อน
"ควรมีโรดแมปให้เห็นภาพรวมทั้งหมดของการเคลื่อนไหวขบวนการปฏิรูปการศึกษาว่า ไปถึงไหน อย่างไรบ้าง เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ ส่วนเรื่องการศึกษาตลอดชีวิตนั้นต้องให้ความสำคัญกับการศึกษานอกระบบให้จริงจังมากขึ้น ต้องปรับบทบาทของกศน. กับสำนักการศึกษาตามอัธยาศัยให้เป็นอันเดียวกัน ต้องดึงกระทรวงวัฒนธรรมเข้ามาร่วมส่งเสริมสร้างวัฒนธรรมการอ่านและการเรียนรู้ตลอดชีวิต
"และเรื่องทรัพยากรการศึกษา หากสสส.ทางการศึกษาสำเร็จอยากเห็น นอกจาการนำภาษีบาปมาใช้แล้ว ก็ควรให้มีการแบ่งภาษีทรัพย์สินมาเติมส่วนนี้ด้วย เพื่อเป็นเงินส่วนที่จะให้ท้องถิ่นนำไปพัฒนาการศึกษาด้วย ซึ่งจะทำให้ท้องถิ่นได้ตื่นตัวด้วยเช่นกัน และอยากให้เกิดสิ่งที่เป็นจริงในสิ่งที่ยังไม่เป็นจริงตอนนี้ด้วย”
