แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
เสียงสะท้อนจากเด็ก ‘นอก (ระบบ)’ วันเด็กปีนี้อยากได้อะไร ?!?
หนึ่งในการสร้างโอกาสทางการศึกษาให้เด็กและเยาวชนไทยอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม ตามแผนปฏิรูปประเทศไทย ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้มอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้คนไทย ต้อนรับปีใหม่ 2554 นั้น คือ การเพิ่มโอกาสด้านการศึกษาให้เด็ก 5 กลุ่มเสี่ยง ซึ่งประกอบด้วย
1.เด็กนอกระบบการศึกษาที่มีมากว่า 1.7 ล้านคน
2.กลุ่มเด็กพิการกว่า 100,000 คน
3.กลุ่มประชากรที่ต้องการเรียนต่อและเพิ่มทักษะในการประกอบอาชีพ
4.การจัดการศึกษาให้กลุ่มเด็กชนบทห่างไกล
และ 5.กลุ่มเด็กและเยาวชนที่ถูกดำเนินคดีส่วนใหญ่เป็นเด็กออกกลางคันและไม่ได้เรียนต่อ ภายใต้กลไกขับเคลื่อนร่วมระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.)
อย่างไรก็ดี ปัญหา “เด็กนอกระบบ” ดูจะเป็นปัญหาเร่งที่ต้องเร่งขับเคลื่อนเนื่องจากมีจำนวน “เด็กที่หลุดออกกลางคัน” ร่วม 3 ล้านคน โดย รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ กรรมการนโยบายปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 (กปน.) กล่าวว่า เด็กร้อยละ 60-70 ของเด็กกลุ่มนี้ แบ่งเป็นเด็กเร่ร่อนประมาณ 30,000 คน ที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในครอบครัว อยู่ในท้องถนน เด็กกำพร้าประมาณ 1 ล้านคน เด็กตั้งครรภ์เป็นคุณแม่วัยใสอายุต่ำกว่า 18 ปีประมาณ 1.2 แสนคน กลุ่มยุวอาชญากรที่ถูกจับกุม 50,000 คน และที่ยังวนเวียนอยู่ในสังคมร่วม 100,000 คน และเด็กไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติอีก 9.7 แสนคน
และในทุกปี จะมีจำนวนเด็กรุ่นใหม่ที่ออกนอกระบบการศึกษา ไม่ต่ำกว่าปีละ 2 แสนคน
ในแต่ละกลุ่มอายุที่เพิ่มขึ้นในแต่ละขณะเวลา สะท้อนให้เห็นถึง “การสะสม” ของจำนวนนักเรียนที่อยู่ในนอกระบบการศึกษาที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ขาดการศึกษา ซึ่งหากจำนวนเด็กเหล่านี้ไม่ได้รับการช่วยเหลือสนับสนุนอย่างเหมาะสมก็จะกลายเป็นต้นเหตุของปัญหาสังคมต่อไป
นอกจากนี้หากประเมินค่าเสียโอกาสทางรายได้สำหรับเด็กนอกระบบที่ไม่ได้รับการศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาเปรียบเทียบเด็กจบการศึกษาระดับปริญญาตรี จะพบว่ามีค่าเฉลี่ยรายได้ต่างกันสูงถึง 7,398 บาท/คน/เดือนเป็นอย่างต่ำ รวมมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจเฉพาะรายได้ในอีก 10 ปีข้างหน้า รวม 887,760 บาท/คน หากพิจารณาถึงจำนวนเด็กที่ไม่ได้รับการศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาจำนวน 689,229 คน ภายใน 10 ปีข้างหน้า แรงงานไทยรุ่นใหม่กลุ่มดังกล่าว จะสูญเสียรายได้มูลค่าอย่างต่ำ 6 แสนล้านบาท และรัฐบาลจะสูญเสียโอกาสในการจัดเก็บรายได้ภาษีเงินได้ส่วนบุคคล กว่า 84,000 ล้านบาท
เนื่องในวันเด็กปี 2554 มีเสียงสะท้อนเล็กๆจากตัวแทนเด็กนอกระบบทั่วประเทศมาแบ่งปัน หลังจากที่ สสค.ได้อนุมัติโครงการส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาคุณภาพเยาวชนในระดับท้องถิ่น (เทศบาล)” ครั้งที่ 1/2553 ไปแล้วเสร็จรวม 35 โครงการทั่วประเทศ และเพิ่งเริ่มต้นไปร่วมเดือนเศษ
"เอกพล เชียตุด" นักเรียนชั้น ม.3 อายุ 16 ปี หรือน้องถัน หนึ่งในเด็กนอกระบบจากจากโรงเรียนปลายข้าว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนเทศบาลวัดนางลาด จ.พัทลุง กล่าวว่า อยากได้ครูที่ทุ่มเททั้งแรงกายใจให้ศิษย์ ซึ่งไม่จำเป็นต้องจบสูง แต่สามารถนำเอาประสบการณ์ชีวิตมาแบ่งปัน สร้างภูมิต้านทานให้ศิษย์เอาชีวิตรอดในสังคมได้ นอกจากนี้ยังสะท้อนให้เห็นว่า จะมีอีกกี่สังคมที่เปิดโอกาสให้เด็กนอกระบบได้เรียน และพร้อมที่จะเข้าใจภาระที่พวกเขาต้องช่วยพ่อแม่รับผิดชอบ
“จากผมที่เคยเรียนติดศูนย์ถึง 8 ตัว เที่ยวเก่ง แต่พอได้เจอครูที่โรงเรียนปลายข้าว ที่ใช้รูปแบบการสอนจากชีวิตจริง สามารถกำหนดตารางเรียนและวิชาที่ตอบสนองความต้องการของตัวเองได้ ทำให้มีโอกาสช่วยพ่อแม่หารายได้ แล้วยังมีโอกาสได้เรียนอีกด้วย ที่สำคัญการเรียนการสอนต้องไม่เลือกสนใจแต่เด็กเก่ง ซึ่งตอนนี้สังคมจากที่เคยมองพวกเราเป็นเด็กเกเรไม่เรียนหนังสือ ตีความว่าเราเป็นเด็กไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อมีคุณครูที่เข้าใจ มีโรงเรียนที่เปิดรับเรา สังคมก็ยอมรับเรามากขึ้น เดิมที่เคยเที่ยวเตร่ก็ช่วยพ่อแม่หารายได้ และไม่สร้างปัญหาเอารัดเอาเปรียบคนอื่นๆในสังคม” ถัน กล่าว
ด้านด.ญ.จิตรานุช กันทรจำรัส เด็กชนเผ่าวัย 6 ปีจากโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชน เทศบาลตำบลแม่ลาน้อย จ.แม่ฮ่องสอน ที่เวลาคุยกันต้องอาศัย “พ่อหลวง” หรือผู้ใหญ่บ้านเป็นสื่อกลางในการสื่อสาร คุยสั้นๆว่า
“ตอนนี้หนูอ่าน ก-ฮ พอได้แล้ว แต่ยังไม่หมดทุกตัว วันเด็กปีนี้เลยอยากมีโอกาสเรียนหนังสือมากขึ้น เพราะครูขึ้นมาสอนในหมู่บ้านอาทิตย์ละ 2 วัน ทำให้เรียนไม่ค่อยปะติดปะต่อ แต่โตขึ้นก็อยากเป็นเหมือนครูเจี๊ยบ เพราะใจดี สอนสนุก สอนเต้น สอนทำกิจกรรม”
“พ่อหลวง” เล่าว่าปัญหาที่พบในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาคือ แม้จะเริ่มรวบรวมเด็กที่หลุดจากห้องเรียนได้ประมาณ 22 คน แต่อายุจะอยู่ในช่วง 5-8 ปี เพราะหากโตกว่านั้น ก็จะเริ่มแต่งงานและไม่กลับเข้าเรียนแล้ว ฉะนั้นการแก้ปัญหาเด็กชนเผ่า ชายขอบ สำคัญคือ ต้องเริ่มตั้งแต่ช่วงประถม
สุดท้ายกับ สมพร คงทรัพย์ วัย 19 ปี อีกหนึ่งเด็กนอกระบบจากเครือข่ายการเรียนรู้เด็ก-เยาวชน 12 ราศรี เทศบาลศรีพนมมาศ จ.อุตรดิตถ์ ได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อมองย้อนกลับไปช่วงม.3 ที่เริ่มหยุดเรียน ก็รู้สึกเสียดาย เพราะจากประสบการณ์หลายปีที่เจอพบว่า เด็กและเยาวชนที่หลุดจาก “ห้องเรียน” นั้นจะเสี่ยงต่อการสร้างปัญหาทางสังคมมาก เพราะมีทั้งเรื่องสิ่งเสพติด อาชญากรรม บางครั้งอยากกลับไปเรียน แต่ก็ถูกสังคม และกฎเกณฑ์ของโรงเรียนตีกรอบไม่ยอมรับก็เลยไม่มีโอกาสกลับไปเรียน
ฉะนั้นหากย้อนกลับไปของขวัญวันเด็กที่ได้ เขาอยากจะให้มีรูปแบบการเรียนการสอนที่ตอบสนองความต้องการของเด็กที่หลากหลายมากยี่งขึ้น ที่สำคัญเมื่อเด็กก้าวพลาดก็ต้องมีวิธีการที่จะเชื่อมโยงให้พวกเขากลับเข้ามาสู่ระบบการศึกษาให้ได้
การฟังเสียงสะท้อนเล็กๆจากเด็กนอกระบบ แม้ไม่อาจครอบคลุมการปฏิรูปการศึกษาไทยได้ทุกมิติ แต่การนับหนึ่งด้วยการยอมรับว่า สังคมไทยยังมีเด็กกลุ่มนี้ที่ต้องการการเยียวยาแก้ไขอยู่จริง ก็พอเป็นความหวังให้เด็กไทยนับล้านคน
ที่มา:หน่วยสื่อสารสาธารณะ ฝ่ายสื่อสารองค์กร สสค.
