แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
ฟังเสียง “คนเล็กคนน้อย” ในวันที่ก้าวไม่พ้นจุดขัดแย้ง
ถึงวันนี้หลายคนยังตอบไม่ได้ว่า การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงจะเป็นอย่างไรต่อไป จะจบเร็ว-จบช้า ยืดเยื้อ หรือจะเกิดความรุนแรงหรือไม่ ไม่มีใครคาดเดาได้ และเป็นเวลากว่า 2 สัปดาห์แล้วเสียงที่มักจะได้ยิน จะมาจากไม่รัฐบาล ก็แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงพูดแทนเสียส่วนใหญ่
ขณะที่เสียงของพี่น้องประชาชนจริงๆที่เดินทางมาจากต่างจังหวัด กลับกลายเป็นเสียงที่เบามากจนคนส่วนใหญ่ของประเทศแทบไม่ค่อยได้ยิน
คำถามที่ต้องการคำตอบ “ทำไมสังคมต้องฟังเสียงคนเล็กคนน้อย” คือ ชื่อหัวข้อในเวทีเสวนา ที่ศูนย์ติดตามประชาธิปไตยไทย คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาฯ ร่วมกันจัดขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้คนเล็กคนน้อยได้มีโอกาสพูดสิ่งที่พวกเขาต้องการ
ประชาธิปไตยแค่เรื่องที่พูดกันในกรุงเทพ
นายชรินทร์ ดวงดารา ประธานเครือข่ายหนี้สินชาวนาแห่งประเทศไทย เริ่มต้นเปิดประเด็นโดยชี้ให้เห็นว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 ก็เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงประชาธิปไตยของคนในเมืองหลวงเท่านั้น คนชั้นล่างในหลายพื้นที่ไม่เคยได้รับรู้การเปลี่ยนแปลง ทั้งๆ ที่คนกลุ่มนี้เป็นคนส่วนใหญ่ไม่ใช่คนเล็กคนน้อยตามที่เข้าใจกัน ขณะเดียวคนกลุ่มนี้ถูกเหยียดหยาม ดูแคลนให้เป็นคนชั้นล่าง ถูกจำกัดสิทธิ กล่าวหาว่าถูกจ้างมาเวลาออกมาเรียกร้องสิทธิ
“ขณะที่ชาวนานับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง แทบจะไม่เข้าใจเลยว่า เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 หรือ พฤษภาคม 2535 นั้นคืออะไร ไม่รู้ว่าการเมืองคืออะไร การมีส่วนร่วมคืออะไร แต่พอสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น เขารู้ว่าประชาธิปไตยกินได้ ตรงนี้เป็นรูปธรรมทางการเมือง นโยบายมีผลต่อการตื่นตัวทางการเมืองของประชาชน” ประธานเครือข่ายหนี้สินชาวนาแห่งประเทศไทย กล่าว และเห็นว่า ที่ผ่านมาประชาธิปไตยเป็นเพียงเรื่องที่พูดกันอยู่แค่ในกรุงเทพ ยังลงไปไม่ถึงรากหญ้าในชนบท และถูกจำกัดอยู่เพียงคนในเมือง คนชั้นกลาง ที่มักจะตอบแทน คิดแทนมาโดยตลอด
พร้อมกันนี้ได้ตั้งคำถามกับสังคมว่าทุกสิ่งจะต้องถูกกำหนดโดยคนกลุ่มเล็กๆ ในบ้านเมืองเช่นนั้นหรือ ทำไมคนชั้นล่างไม่สามารถมีสิทธิกำหนดอนาคตตนเอง
นายชรินทร์ กล่าวถึงปัญหาของเกษตรกรไทยว่า อีก 20 ปีข้างหน้า หากภาคเกษตรของไทยยังไม่ได้รับการแก้ไขข้าวจะไม่พอกิน ต้องนำเข้าข้าวมาจากต่างประเทศแน่นอน ด้วยเหตุว่า เกษตรกรรุ่นนี้จะเป็นรุ่นสุดท้ายของแผ่นดินไม่มีทายาทสืบทอดทำนาแล้ว เพราะทนเห็นภาพพ่อแม่ถูกไล่เบี้ยหนี้ไม่ได้ ขณะที่ชีวิตชาวนาที่ผ่านมาไม่เคยมีอะไรดีขึ้น กลับมีแต่จนลง และที่สำคัญที่ดินของชาวนากว่า 38 ล้านไร่กำลังจะถูกขายทอดตลาด ตกไปเป็นของนายทุน ในอนาคตจะไม่มีที่ดินทำกิน
เสียงคนเล็ก(ไม่)น้อย ที่ไม่เคยดัง
ด้านนายสวาท อุปฮาด ผู้ประสานงานเครือข่ายสมัชชาคนจน กล่าวว่า สังคมต้องมองให้ชัดว่าคนส่วนใหญ่ของสังคมเป็นคนกลุ่มใด โดยมั่นใจว่าคนส่วนใหญ่ คือ คนเล็กคนน้อยที่ผู้มีอำนาจมักไม่ฟังเสียง ซึ่งคนกลุ่มนี้ต้องรับผลกระทบมากมายจากการผู้มีอำนาจไม่ยอมฟังเสียง จึงจำเป็นต้องรวมตัวกันเพื่อมาทำให้เกิดเสียงดัง ทำให้เกิดอำนาจในการที่จะนำเสนอปัญหาต่อรัฐและสื่อมวลชน![]()
“สมัชชาคนจน รวมตัวมา 14 ปี จนถึงวันนี้ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ปัญหาของพวกเรายังไม่ได้รับการแก้ไขหรือผลักดันให้เป็นเรื่องนโยบายที่ต้องแก้ไข เราทนกระแสการกดขี่ ทนกระแสการเอารัดเอาเปรียบทั้งทางการเมือง และทางชนชั้นต่อไปไม่ได้ จึงออกมาร่วมกัน”
นายสวาท กล่าวถึงการออกมาเรียกร้องแล้วถูกตีกรอบว่า การมีกรอบเช่นนี้แล้วเราจะมีพื้นที่อย่างไรในการนำเสนอปัญหาที่แท้จริงต่อสาธารณะ จะทำอย่างไรให้ตัวเองมีสิทธิ มีเสียงได้ เนื่องจากกลไกทางการเมืองที่ผ่านมาไม่มีตัวแทนอย่างจริงจังที่จะเป็นตัวแทนคนเล็กคนน้อยได้ ที่จะสามารถเป็นปากเป็นเสียงแทนได้อย่างแท้จริง
ขณะนี้ต้องทำให้คนเล็กคนน้อยเข้มแข็งให้ได้ รัฐบาลและสังคมต้องฟังเสียงอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นประเทศจะมีความขัดแย้งแบบนี้ต่อไป หากไม่ฟังเสียงคนส่วนใหญ่แล้วไปฟังเพียงบางกลุ่มที่มีอำนาจ มีทุน ความขัดแย้ง
“ปัญหาทางสังคมที่มีอยู่รัฐและสังคมต้องเห็นว่า หนทางต้องเริ่มจากการเห็นความสำคัญของสิทธิของคนกลุ่มนี้ มิเช่นนั้น สังคมก็จะไม่มีทางออก และไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้”
ทุกรัฐบาลไม่จริงใจช่วยคนชั้นล่าง
ส่วนความทุกข์ยากของชาวนาที่ต้องต่อสู้เรียกร้องสิทธิมาตลอดชีวิต 43 ปี นางสาวนิสา คุ้มกอง อยู่อ.สรรพยา จ.ชัยนาท เห็นว่า สิทธิของคนข้างล่างไม่ได้เกิดขึ้นได้ง่ายๆ ต้องยอมรับว่าการเมืองไทยไม่ว่าจะเป็นพรรคใด ส.ส.หรือส.ว.คนใดก็ตาม ออกนโยบายต่างๆ มาก็ ไม่เคยมีใครไปถามชาวไร่ ชาวนา กรรมกร คนใช้แรงงานว่าต้องการอะไร บ้าง ไม่เคยสนใจ คิดเพียงออกนโยบายไปก่อนมาคุยกันภายหลัง นี่เป็นความล้าหลังของผู้นำ เป็นความล้าหลังของคนที่บริหารประเทศ
“เราไม่เคยเชื่อจะมีรัฐบาลไหนจริงใจกับประชาชน วันนี้สิ่งที่ถูกต้องนั้น ต้องถูกกำหนดมาจากข้างล่าง ส่วนข้อเรียกร้องยุบสภาหรือไม่ยุบสภาก็แล้วแต่ คนที่ได้ประโยชน์น้อยที่สุดก็คือพวกเรา จึงขอฝากให้นักวิชาการจะพูดอะไรก็คิดถึงฐานความจริงก่อน ฝากคนเสื้อแดงจะทำอะไรก็ให้คิดถึงคนส่วนใหญ่ด้วย ขณะนี้หน้าที่ของคนเสื้อแดงไม่ใช่แค่ให้ยุบสภา แต่คนเสื้อแดงต้องบอกประชาชนส่วนใหญ่ข้างล่างว่า ประชาธิปไตยจริงๆ คืออะไร เพราะคำว่าประชาธิปไตยพูดได้ แต่เข้าใจลึกซึ้งหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง โจทย์หลักคือเมื่อเสร็จสิ้นศึกครั้งนี้แล้วเราจะทำไรต่อไปเพื่อแก้ไขปัญหาที่แท้จริง ”
สำหรับแกนนำเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย หนึ่งในชาวบ้านคลองโยง อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการจัดสรรที่ดินทำกินที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายของรัฐบาลทุกสมัยที่ผ่านมา นายบุญลือ เจริญมี บอกถึงสภาพปัญหาคนรากหญ้าว่า รัฐบาลทุกสมัยเหมือนกันหมด ก่อปัญหาให้กับคนรากหญ้า ไม่ว่ารัฐบาลชุดพ.ต.ท.ทักษิณ หรือรัฐบาลสมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรวมถึงทุกรัฐบาลก่อนหน้านี้ การแก้ปัญหาของรัฐบาลบ้างก็แก้ปัญหาเร็วเกินไป บ้างก็ช้าเกินไป ซึ่งควรมีความสมดุลมากกว่านี้
สองคำถาม ? ที่ยังไม่มีคำตอบ
อีกมุมหนึ่งนายไพโรจน์ พลเพชร ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) กล่าวว่า เสียงเรียกร้องจากประชาชนให้แก้ปัญหานั้นมีมาตลอด ขณะนี้สังคมไทยกำลังเผชิญกับ 2 วิกฤติใหญ่ ประการแรก วิกฤติของสถาบันที่ใช้อำนาจในสังคมไทย คือ สถาบัน องค์กรทางการเมืองทั้งหมดถูกท้าทายทั้งสิ้น และถูกท้าทายอย่างใหญ่หลวง ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่ารัฐสภา พรรคการเมือง สถาบันศาล สถาบันองคมนตรี ฯลฯ ถูกตั้งคำถามว่ามีความชอบธรรมที่จะดำรงอยู่หรือไม่
และประการที่สอง ความเป็นธรรมในสังคม ที่กลุ่มคนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นชนชั้นล่างไม่ได้รับการจัดสรรและเข้าถึงทรัพยากรได้อย่างเป็นธรรม เห็นได้จากการเกิดเครือข่ายประชาชนในลักษณะแบบสมัชชาคนจน เครือข่ายปฏิรูปที่ดิน เครือข่ายสลัมสี่ภาค เป็นต้น ที่มีอยู่ทั่วไปในสังคมมีแทบทุกกลุ่ม ที่เป็นตัวอย่างการลุกขึ้นมาต่อต้าน ท้าทาย ตรวจสอบ จัดการการใช้อำนาจของรัฐ เช่น ปัญหาที่ดินทำกิน การเข้าถึงรัฐสวัสดิการ ทั้งหมด คือ ปัญหาที่แท้จริง อำนาจรัฐ โครงสร้างสถาบันทางการเมืองตอบสนองปัญหาประชาชนไม่ได้จนถึงปัจจุบัน
“เราจำเป็นต้องจัดโครงสร้างทางการเมืองใหม่ ไม่ใช่แค่การยุบสภา หากยังเป็นโครงสร้างแบบเดิมก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ และถ้าไม่มีวาระญัตติของสังคมในเรื่องโครงสร้างความไม่เป็นธรรมในทุกเรื่องที่พูดกันนั้นก็จะไม่มีทางออกให้สังคม จะยังเจอปัญหาแบบนี้อยู่ต่อไป ดังนั้นเราจะปฏิรูปโครงสร้างการเมืองแบบใดที่ให้สามารถเอื้อประโยชน์ในการแก้ปัญหาของประชาชนได้ จะจัดโครงสร้างอย่างไรให้การใช้อำนาจไปตอบสนองแก้ความไม่เป็นธรรมใน สังคมได้อย่างเป็นธรรม เพื่อการแก้ปัญหาในระยะยาวได้” ประธาน กป.อพช. เสนอแนะ
‘สิทธิ’ กำเนิดจาก ‘การต่อสู้และลงมือทำ’
ขณะที่นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) มองว่า 78 ปีที่ผ่านมาประชาธิปไตยที่แท้จริงยังไม่เกิดขึ้น เนื่องจากอำนาจอันชอบธรรมของประชาชนนั้นถูกทำร้ายมาโดยตลอด อำนาจของประชาชนที่แท้จริงวันนี้ยังไม่มี
“ปัญหาที่เกิดในปัจจุบันไม่ใช่แค่ประเด็นชนชั้นนำ ชนชั้นกลาง หรือการไม่เข้าใจกันเพียงเท่านั้น คนอีสาน คนภาคเหนือ ภาคใต้ แต่คนทั่วประเทศยังไม่ได้รับความเป็นธรรมในทางเศรษฐกิจ และการเมือง สังคมไม่เท่าเทียมกันในการให้ข้อมูลข่าวสาร การรับรู้ การเข้าถึง ซึ่งไม่ใช่เรื่องของคนเล็กคนน้อย แต่เป็นเรื่องของคนด้อยโอกาสในสังคม คนรวยมีไม่เกิน 10-20% ขณะที่คนจนมี 80-90% การที่สังคมรับฟังเสียงปัญหาของประชาชนอย่างเดียวนั้นไม่มีทางแก้ได้ หากประชาชนต้องลุกขึ้นมาทำและต่อสู้เพื่อให้ได้มา”
กรรมการสิทธิมนุษยชนฯ อธิบายสิทธิต้องได้จากการต่อสู้และลงมือทำ ว่า ตรงนี้คืออำนาจของประชาชนที่จะต้องรักษาประโยชน์ สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่ประชาชนลุกขึ้นมาส่งเสียงอย่างเดียว ต้องลุกขึ้นมาร่วมตรวจสอบ ร่วมกำหนดนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อคนทั้งประเทศ นโยบายในการรักษาสิทธิของประชาชน ต้องเป็นการต่อสู้ทางประชาธิปไตยที่ลุกขึ้นมาทำ มีส่วนร่วมรักษาสิทธิของเรา เช่น สิทธิของเกษตรกรที่ต้องมีสิทธิในเรื่องของสื่อ การศึกษา สวัสดิการต่างๆ และมีมากมายที่ต้องลุกขึ้นต่อสู้ ดังนั้นความเป็นจริงภายใต้ระบบสังคมอุปถัมภ์นี้เราจะทำลายความไม่เป็นธรรมลงได้อย่างไร
“โจทย์ของประเทศไทยในขณะนี้ ต้องทำให้สังคมการเมืองภาคประชาชนเข้มแข็ง ที่ไม่ใช่แค่การส่งเสียง และวันนี้ประชาชนทั้งประเทศก็ไม่ใช่เพียงแค่คนเสื้อแดงกลุ่มเดียว”
สำหรับทางออกของปัญหาขณะนี้ นพ.นิรันดร์ เห็นว่า เราไม่ต้องสนใจถกเถียงกันเรื่องวาทกรรม ส่วนการเรียกร้องการต่อสู้ก็ไม่ควรมีอะไรแอบแฝง ซุกซ่อน การแย่งอำนาจ ผลประโยชน์ ที่ไม่ใช่เรื่องของประชาชนมาปะปน เวลานี้คนเสื้อแดงต้องตีแผ่ประเด็นความชอบธรรมในการต่อสู้ของภาคประชาชนบนหลักสิทธิ ต้องทำให้เห็นว่ารัฐบาลต้องตอบสนองพวกเราในเรื่องใดบ้าง ต้องบอกด้วยว่าต้องการทำอะไรเพื่อสร้างความเป็นธรรมของพวกเราในทุกประเด็น จะได้ก้าวข้ามตัวบุคคล เพราะขณะนี้กำลังถูกกล่าวหาว่าสู้เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง เป็นสิ่งต้องพิสูจน์ว่าสู้เพื่อพวกเราทุกคน ซึ่งเรื่องนี้ต้องทำให้ชัด และตรงนี้ที่เป็นความชอบธรรมที่ใครในแผ่นดินนี้ไม่สามารถปฏิเสธได้
‘เล่นพวก- ไม่ใส่ใจพื้นฐานของประเทศ’ ปมเหตุที่แท้จริง
ส่วน รศ.สุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองเห็นปรากฎการณ์สิ่งที่เกิดขึ้นกับสังคมไทยในขณะนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เนื่องจากวิกฤติครั้งนี้ครอบคลุมทุกสถาบันในสังคม ประกอบกับสังคมไทยรู้จักตนเองน้อยมาก เป็นสังคมพวกใครพวกมัน พวกสีอะไร ส่วนคนเล็กคนน้อย ถูกอ้างเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจ เป็นกระดูกสันหลังของประชาธิปไตย แต่ความเป็นจริงไม่เคยฟังจริงๆ และสังคมไทยมีความเติบโตหลายอย่างควบคู่ไปกับการปิดกั้น
“ขณะนี้เรานั่งด่ากันไปมา คนที่นั่งอยู่หลังฉากก็สบาย เราด่าคนผิด ซ้ำเติมกันไปมา ก็สะใจกัน ถ้ายังอยู่ในโลกแห่งความสะใจกันอยู่ก็อยู่กันไป แต่จะเป็นสังคมที่ไม่มีความเป็นธรรม สังคมตอนนี้เป็นสังคมที่มีความกลัวเป็นพื้นฐาน สร้างความกลัวจนไม่กล้าพูดเรื่องจริง เช่นนี้ประชาธิปไตยจะไปไม่ได้ ต้องช่วยกันทำความรู้จักกัน สร้างความรู้เพื่อเอาชนะความกลัว ดังนั้นต้องบริสุทธิ์ใจ สุจริตใจกันให้มากที่สุด ต้องสร้างสังคมไทยที่ไม่มีพรรคพวกขึ้นมาให้ได้ แล้วนำไปสู่ว่าโจทย์ของพวกและโจทย์ของสถาบันรัฐคืออะไร โจทย์สังคมไทยคืออะไร”
ผอ.ศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาฯ กล่าวว่า ปัญหาพื้นฐานของประเทศที่แท้จริงคือการที่เราไม่ใส่ใจในปัญหาที่แท้จริง เราไม่สนใจให้ส่วนนั้นมีเสียงที่สะท้อนเข้ามาในกระบวนการที่กว้างขวาง ขณะเดียวกันสังคมการเมืองกรุงเทพฯ ยังเป็นตัวกำหนดประเด็นใหญ่ของประเทศเสียจนเกินสัดส่วนที่เป็นจริง หรือทางพูดในภาษาเสื้อแดงจะบอกว่าเป็นการครอบงำ ทั้งนี้ทั้งนั้น ยังเชื่อว่าโจทย์ของทุกคนแยกเป็นโจทย์กลางได้ถ้าเราไม่หลงประเด็นกัน
