แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
"โดนคดีเพราะจน" บาดแผลใน "กระบวนการยุติธรรม" ที่รอรักษา
เมื่อเร็วๆ นี้ มีเวทีสาธารณะว่าด้วยการรวมคดีอันเนื่องมาจาก “ความจน” โดยเครือข่ายกลุ่มคนที่เรียกและถูกเรียกตนเองว่า “คนจน” จากทั่วประเทศ ได้ร่วมกันจัดเวทีเพื่อหอบปมปัญหา ความคับข้องใจตลอดชีวิต มาสะท้อนความเหลื่อมล้ำและความไม่ยุติธรรมที่มีอยู่จริงในสังคมแบบไทยๆ ขึ้น โดยคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เอื้อเฟื้อสถานที่พร้อมอำนวยความสะดวกให้พี่น้องคนจน แบบไม่กระชับพื้นที่ !!
นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจาก 3 บุคคลซึ่งกำลังมีบทบาทสำคัญต่อ “ขบวนการปฏิรูปประเทศไทย” จากคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) ชุดนายอานันท์ ปันยารชุน มาร่วมรับฟังปัญหาด้วย
โดยคนจนกลุ่มนี้พยายามบอก “คนจนไม่ใช่อาชญากร และความจนไม่ใช่อาชญากรรม”
ถึงเวลาที่ทุกคนต้องเงี่ยหูฟังเสียง “คนจน” กันแล้ว
“ความไม่เป็นธรรม” ในชีวิตคนจน
เปิดฉากชีวิตคนจนกับ “ความไม่เป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม” นายบำรุง คะโยธา ที่ปรึกษาสมัชชาคนจน อดีตนักโทษหลายคดีข้อหาเป็นแกนนำชาวบ้านในการชุมนุมเรียกร้องสิทธิคนจน ปัจจุบันเป็นนายกอบต.สายนาวัง อ.นาคู จ.กาฬสินธุ์ เล่าผ่านประสบการณ์ตลอด 37 ปีที่ได้ร่วมต่อสู้เรียกร้องสิทธิให้ผู้ใช้แรงงาน เกษตรกร และคนจนที่ถูกเอาเปรียบจากนายทุน ราชการ และสังคม ว่าทำให้ได้รู้และเข้าใจปัญหาชีวิตชาวบ้านยิ่งขึ้นที่เป็นปัญหาซับซ้อนเชิงโครงสร้างไม่อาจปล่อยให้ชาวบ้านแก้ไขกันเองเพียงลำพังได้
“เมื่อปัญหาขยายขึ้นเรื่อยๆ เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะไม่มีใครสนใจปัญหา ไม่ว่าจะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด นักการเมือง หน่วยงานรัฐ จึงเกิดการใช้วิธีปิดถนนเรียกร้องขึ้น เพราะเป็นอาวุธอย่างเดียวของคนจนที่มี จากนั้นสิ่งที่พวกเราคนจนได้รับตอบแทน คือ การตกเป็นผู้ต้องหาจากการแจ้งข้อกล่าวหาจากเจ้าหน้าที่รัฐด้วยเหตุผลที่พวกเรารวมตัวชุมนุมกัน ทั้งที่พวกเรามาเรียกร้องเพื่อขอความเป็นธรรมและขอให้ช่วยแก้ปัญหา” ที่ปรึกษาสมัชชาคนจนกล่าวด้วยความอึดอัดใจ
เมื่อ “กระบวนการยุติธรรม” ขึ้นกับ “ผู้มีอำนาจ”
จากนั้น นายบำรุง ได้ฉายภาพรวมความไม่เป็นธรรมที่คนจนถูกกระทำโดยยก 2 คดีตัวอย่างที่คนจนโดนฟ้องร้องและเป็นคดีที่ข้องใจตลอดมา
คดีแรก กรณีชุมชนประท้วงต่อต้านการสร้างเตาเผาขยะ อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท สมัยนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี คดีนี้มีการฟ้องร้องชาวบ้านที่มาชุมนุมปิดถนน ฯลฯ แต่ไม่ได้ดำเนินคดีอะไรต่อ กระทั่งพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีได้สั่งรื้อคดีฟ้องใหม่และสั่งดำเนินคดีผู้ชุมนุมและชาวบ้าน ผลทำให้ชาวบ้านนับหมื่นรายที่ร่วมต่อสู้กลัวหมด ไม่กล้าเรียกร้องต่อ ขณะเดียวกันฝ่ายโจทก์ได้อ้างพยานกว่า 80 ปากเพื่อเอาผิดผู้ชุมนุม จนสุดท้ายอัยการแนะนำให้ผู้ชุมนุมที่เหลืออยู่รับสารภาพ พร้อมตัดสินให้รอลงอาญา
ส่วนคดีที่ 2 กรณีบุกรุกธนาคารแห่งประเทศไทย จ.ขอนแก่น เหตุเกิดสมัยนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีและมีการเรียกค่าเสียหายกว่า 300 ล้านบาท จากนั้นสมัยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีมีการรื้อคดีฟ้องใหม่ สู้คดีเกือบ 2 ปี สุดท้ายศาลไม่เชื่อว่าพี่น้องประชาชนไปประชุมกันจริง เชื่อว่าบุกรุกทั้งที่มีผู้ว่าราชการ จ.ขอนแก่น ขณะนั้น เป็นพยานด้วย จึงตัดสินให้รอลงอาญาเนื่องจากเห็นว่าบุกรุกเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาคนยากจน ขณะที่ฝ่ายโจทก์ไม่ได้เรียกค่าเสียหาย
“สองคดีนี้ทำให้ผมหมดเงินค่าปรับและค่าฟ้องคดีเกือบแสนบาท และเสียค่าปรับช่วยพี่น้องที่ต่อสู้ด้วยกันอีก สองคดีนี้ทำให้เห็นว่าการฟ้องคดีกับคนจนนั้นแล้วแต่ผู้มีอำนาจ ถ้าผู้มีอำนาจสั่งเมื่อใดก็ต้องขึ้นศาล จึงไม่แปลกใจที่พี่น้องเดินขบวนเรียกร้องแล้วต้องเจอข้อหาแบบนี้ เข้าใจว่าเรื่องปกติ อยู่ที่การเมือง เราต้องทำใจ” อดีตนักโทษหลายคดีข้อหาเป็นแกนนำการชุมนุมเรียกร้องสิทธิคนจนตัดพ้อกระบวนการยุติธรรมไทย
“ทุจริตเอกสารสิทธิ์ที่ดิน” ปมใหญ่ความไม่เป็นธรรม
สำหรับปัญหาความไม่เป็นธรรมที่คนจนในภาคเหนือถูกกระทำและเผชิญอยู่นั้น นายประยงค์ ดอกลำไย ตัวแทนกลุ่มปฏิรูปที่ดินโฉนดชุมชน ชี้ให้เห็นว่ามี 2 ปัญหาใหญ่ คือ
ปัญหาแรก คือ คดีที่ดินเอกชน ที่เกิดจากการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบภายใต้ “โครงการเร่งรัดเดินสำรวจและออกโฉนด” ในพื้นที่กว่า 1.5 หมื่นไร่ในพื้นที่ภาคเหนือ ตามมติครม.ปี 2507 ที่ให้นำที่ดินจัดสรรแก่คนจนที่ได้รับผลกระทบจากเขื่อนภูมิพล มองผิวเผินชาวบ้านจะตกเป็นผู้บุกรุกที่ดินคนอื่น แต่ความจริง คือ กรมที่ดินออกใบจองให้ชาวบ้านทับซ้อนกัน ต่อมาจึงยกเลิกใบจองเพื่อจัดสรรใหม่ ทำให้กระบวนการจัดสรรที่ดินให้คนจนในพื้นที่นั้นยุติลง โดยใช้โครงการเดินสำรวจฯ แทน
ทว่าโครงการนี้ทำให้เกิดกระบวนการทุจริตการออกเอกสารสิทธิ์อย่างมหาศาลในปี 2532-2533 เพราะการออกโฉนดไม่ต้องใช้หลักฐานใดๆ เพียงใช้การให้ปากคำเจ้าของที่ดินและผู้ปกครองท้องที่ เกิดการสร้างหลักฐานเท็จให้กับบริษัทต่างๆ สามารถนำที่ดินไปออกโฉนดภายใต้โครงการได้ และช่องทางที่ชาวบ้านจะได้สิทธิที่ดินที่ต้องผ่านการออกใบจองก็ถูกยกเลิกไปแล้ว ทำให้คนในพื้นที่ไม่ได้รับการจัดสรรที่ดิน หนำซ้ำมีการนำโฉนดไปจำนองในสถาบันการเงินซึ่งชุมชนไม่รู้ว่าที่ดินมีการออกเอกสารสิทธิ์ไปแล้ว จนปี 2543-2545 มีการปฏิรูปที่ดินโดยชุมชน ชาวบ้านเข้าไปใช้ที่ดินนี้ซึ่งไม่มีการใช้ประโยชน์มา20 กว่าปี ก็ถูกบริษัท ธนาคาร เจ้าของที่ดินฟ้องข้อหาบุกรุกในท้ายที่สุด
อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2545 ครม.ในสมัยพ.ต.ท.ทักษิณ มีมติให้ดำเนินการตรวจสอบพื้นที่และทำการปฏิรูปที่ดินนำร่องให้กับชาวบ้านภายใต้ “โครงการปฏิรูปที่ดินนำร่อง” โดยระหว่างนั้นให้ชะลอการดำเนินคดีชาวบ้านที่บุกรุกที่ดินไว้ก่อน กระทั่งเมื่อวันที่ 23 เม.ย. 2545 รัฐบาลมีมติกลับลำสั่งให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินคดีกับชาวบ้านที่บุกรุกที่ดินของรัฐและเอกชนอย่างเฉียบขาด ทำให้เกิดขบวนการไล่ล่าผู้นำชาวบ้านขึ้น เกิดการจับกุมชาวบ้าน 109 คน เกิดการฟ้องคดี 1,046 คดี ตามมา
โอดศาลมอง “ชาวบ้านเป็นผู้บุกรุก” ตั้งแต่ต้น
ส่วนปัญหาต่อมาที่คนจนภาคเหนือเผชิญอยู่นั้น คือ ปัญหาความไม่เป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม นายประยงค์ ยืนยันว่า กระบวนการพิจารณาคดีที่ผ่านมาพบศาลมีทัศนคติปักใจเชื่อในเบื้องต้นแล้วว่าชาวบ้านจะต้องเป็นผู้บุกรุกและยึดที่ดิน ทำให้การเบิกความของชาวบ้านในศาลนั้นมักไม่ได้รับการให้น้ำหนักในคดีเท่าที่ควร เช่น การอ้างพยานหลักฐานส่วนใหญ่จะฟังแต่ฝ่ายราชการ พนักงานสอบสวน หรือตำรวจสายสืบในพื้นที่ที่มาให้ปากคำ ฯลฯ อีกทั้งการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ได้พยายามแจ้งข้อหาชาวบ้านโดยไม่มีหลักฐาน แจ้งข้อกล่าวหาจำนวนมากเข้าไว้ เพื่อไม่ให้ชาวบ้านมีหลักทรัพย์ประกันตัวออกมาสู้คดีได้ ทำให้กระบวนการชาวบ้านทั้งหมดไม่ได้มีโอกาสเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างแท้จริง
ตัวอย่างที่ชัดเจน กรณีล่าสุดเมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ศาลมีคำสั่งขังแกนนำ 19 คนในจ.ลำพูนโดยศาลอุทธรณ์พิจารณาให้จำคุก 6 เดือนจากเดิมศาลชั้นต้นให้จำคุก 1 ปี ไม่ให้ฎีกาเนื่องจากเห็นว่าโทษต่ำ ซึ่งนี่แสดงให้เห็นว่าชาวบ้านไม่มีสิทธิที่จะต่อสู้ในศาลที่ 3 ตามที่ควรเป็นเลย นายประยงค์บอกและย้ำว่า “ทั้งหมดชี้ให้เห็นว่ากระบวนการมีปัญหาตั้งแต่การออกเอกสารสิทธิ์ และกระบวนการพิจารณาคดี”
กระบวนการยุติธรรม “เครื่องมือ” รังแกคนจน
ขณะที่ภาคอีสาน นายปราโมทย์ ผลภิญโญ ตัวแทนกลุ่มปัญหาเครือข่ายปฏิรูปที่ดิน จ.ชัยภูมิ บอกถึงความไม่เป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรม ส่วนใหญ่ คือ ปัญหาการบุกรุกที่ดิน โดยเฉพาะคดีอาญาบุกรุกที่ป่าไม้และขัดขวางการปฏิบัติหน้าเจ้าหน้าที่ ส่วนคดีแพ่งเป็นคดีฟ้องขับไล่การบุกรุกและเรียกค่าเสียหาย มูลเหตุคดีส่วนใหญ่เกิดจากข้อพิพาทสิทธิที่ดินรัฐกับชาวบ้าน ทั้งที่รัฐมาประกาศพื้นที่ป่าทับที่ทำกินเดิมของชาวบ้าน
“ข้อพิพาทที่ผ่านมา หน่วยงานรัฐและเอกชนใช้มาตรการกระบวนการยุติธรรมมาดำเนินการกับชาวบ้าน เพราะเห็นว่าการใช้กระบวนการยุติธรรมแล้วเอื้อประโยชน์ ได้เปรียบชาวบ้าน ซึ่งเราเสนอมาตลอดว่าการแก้ปัญหาที่ดินควรยุติเรื่องคดีความกับชาวบ้านก่อน รัฐต้องใช้มาตรการบริหารที่เข้มข้น ขณะนี้ยังมีการดำเนินคดีเรียกค่าเสียหายกับชาวบ้านอยู่ และบทเรียนจากกระบวนการยุติธรรมที่ผ่านมา ศาลไม่ได้นำหลักสิทธิชุมชนเข้าไปพิจารณาในคดีด้วยเลย” ตัวแทนคนจนภาคอีสานชี้ประเด็น พร้อมยกตัวอย่าง กรณีสวนป่าคอนสาร จ.ชัยภูมิ ที่ชาวบ้านถูกกระทำจากกระบวนการยุติธรรมให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
กรณีนี้ชุมชนได้ข้อยุติแล้วว่าองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เข้ามาประกาศพื้นที่ป่าทับที่ชาวบ้าน จึงเสนอให้ยกเลิกสวนป่าฯ แล้วนำที่ดินมาจัดสรรตามแนวทางโฉนดชุมชน แต่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้กลับยังดำเนินการฟ้องขับไล่เรียกค่าเสียหายชาวบ้านอีก เห็นชัดว่ารัฐไม่ได้สนองแก้ปัญหาประชาชนที่ตกลงร่วมกันเลย
ขณะเดียวกันตัวแทนคนจนเมือง นายพงษ์ศักดิ์ สายบรรณ ตัวแทนเครือข่ายชุมชนปฏิรูปสังคมและการเมือง เห็นตรงกันว่า คดีความส่วนใหญ่เกิดจากความไม่เป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม เช่น คดีความกรณีที่ดินรัฐนั้นกลุ่มทุนกับรัฐใช้วิธีการทางกฎหมายมากระทำกับชาวบ้าน
“ปัญหาคดีที่ดินเอกชนก็เกิดจากเอกชนออกระวางโฉนดทับที่ชุมชน แล้วแจ้งจับชาวบ้านดำเนินคดี โดยใช้วิธีฟ้องผิดแปลง คือ อาจฟ้องชื่อเรา แต่ที่ดินที่ฟ้องไม่ใช่ชื่อเรา ทำให้เข้าใจผิดว่าไม่ได้ถูกฟ้อง และความไม่รู้กฎหมายทำให้ไม่สนใจไปชี้แจงกับศาล ทั้งที่ความจริงคดีนั้นถูกตัดสินไปเรื่อยโดยไม่มีคู่กรณีมาโต้แย้งสิทธิ์ จนที่สุดฝ่ายทุนชนะคดีนำคำสั่งศาลไปออกโฉนดได้อย่างชอบธรรม และทุกครั้งที่คนจนขึ้นศาลจะถูกดำเนินการโดยเร็ว ท้ายที่สุดชาวบ้านเป็นเหยื่อการพัฒนาและถูกกระทำทั้งจากรัฐและทุน”
ฉะรัฐเตรียมที่ดิน “ประเคนคนรวย”
ขณะเดียวกันปัญหาคนจนชาวเลและคนจนเมืองจากพื้นที่อันดามันก็ไม่ต่างกัน นายสุทธิพงษ์ ลายทิพย์ ผู้ประสานงานศูนย์กฎหมายและสิทธิชุมชนพื้นที่อันดามัน แจกแจงคดีในพื้นที่ว่าเกิดจาก
1) การบังคับใช้กฎหมายไม่เป็นธรรม เอกชน รัฐ และฝ่ายปกครองร่วมมือกันฟ้องชาวบ้านบุกรุกที่ดิน เปิดช่องให้นายทุนเข้าไปจับจองและใช้พื้นที่ออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ ทำให้ชุมชนที่ทำกินอยู่ก่อนกลายเป็นผู้บุกรุกและถูกฟ้องขับไล่ โดยเฉพาะพื้นที่เหมืองแร่ร้างและบริเวณป่าชายเลนเสื่อมสภาพที่เกิดข้อพิพาท 1,500 กรณีใน 37 พื้นที่ตั้งแต่จ.ระนอง-สตูล เกิดคดีความ 415 คดี เกี่ยวพันชาวบ้านกว่า 7,000 ครัวเรือน
2) เจ้าหน้าที่รัฐและท้องถิ่นทำงานตระเตรียมที่ดินประเคนให้คนรวย กำหนดการออกนโยบายจัดการและใช้ที่ดินที่เปิดช่องให้คนรวยและกลุ่มทุนเข้าไปเช่าใช้พื้นที่ เปิดช่องให้ฟ้องทั้งแพ่งและอาญาขับไล่ชาวบ้านได้
3) กลุ่มทุนและหน่วยงานรัฐในท้องถิ่นร่วมกันจัดระเบียบพื้นที่การอนุรักษ์ พื้นที่การท่องเที่ยวที่ทำร้ายวิถีชีวิตทำกินชาวบ้าน และ
4) คนรวยใช้เครื่องมือกลไกกฎหมายเล่นงานคนที่ไม่พอใจ เช่น จ.ภูเก็ต เจ้าของที่ใช้พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 ไปแจ้งเทศบาลให้จับชาวบ้านที่เข้าไปปลูกสร้างที่อยู่หลังที่ได้รับผลกระทบจากสึนามิแล้วไม่มีที่อยู่อาศัย โดยสั่งปรับชาวบ้านวันละ 1,000 บาท ทั้งที่ห้างในกรุงเทพสั่งปรับ 100 บาทเท่านั้น เป็นต้น
“คนจนเวลาทำผิดมักได้รับการปฏิบัติตามเอาผิดอย่างยุติธรรมตามกฎหมายที่เขียนไว้ เราได้รับเกียรติตรงนี้มาก และก็ไม่เข้าใจว่าการตัดสินคดีของภาคใต้ทำไมส่วนใหญ่ตัดสินแบบไม่รอลงอาญา หรือแม้ว่าศาลจะตัดสินยกฟ้องชาวบ้านแล้วก็ตาม ก็ยังมีการกำหนดโทษทางปกครองตามเล่นงานชาวบ้านอีก รวมถึงมีการยัดข้อกล่าวหาเกินจริงด้วย เหล่านี้เป็นข้ออึดอัดใจที่เราไม่ได้รับความเป็นธรรม” นายสุทธิพงษ์ กระทบกระเทียบ
คัดค้านโรงไฟฟ้าบางสะพาน “ชัยชนะ” ที่ “ไม่แฟร์”
นอกจากคดีคนจนเกี่ยวกับที่ดินแล้ว ยังมีความไม่ยุติธรรมในมิติการชุมนุมต่อสู้เรียกร้องสิทธิของชาวบ้านด้วย
นางจินตนา แก้วขาว แกนนำชาวบ้านผู้คัดค้านโครงการพัฒนาสำคัญๆ ของรัฐและเอกชนนับสิบโครงการที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนในจ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้ยกตัวอย่าง กรณีการคัดค้านโครงการสร้างโรงไฟฟ้าบ้านกรูด อ.บางสะพานให้เห็นว่ากรณีนี้ชาวบ้านร่วมกันต่อสู้จนวันนี้ยุติไม่มีการสร้าง แต่คดีความที่ชาวบ้านถูกฟ้องด้วยข้อหาบุกรุกเข้าไปตรวจสอบที่ดินสาธารณะเพื่อคัดค้านโครงการนี้กลับยังคงมีอยู่
“แม้รัฐบาลจะประกาศชัดว่าโครงการนี้ไม่เกิดประโยชน์ในการสร้างและย้ายไปที่อื่นแล้ว แม้ป.ป.ช.จะเอาผิดวินัยและอาญาแก่เจ้าหน้าที่ที่ดินที่ออกเอกสารสิทธิ์ทับซ้อนที่สาธารณะและเอาผิดเจ้าหน้าที่กรมเจ้าท่าที่รับรองการออกเอกสารสิทธิ์ว่าไม่รุกล้ำแล้ว แต่ศาลยังคงตัดสินยืนจำคุกชาวบ้านที่ต่อสู้เรื่องนี้ 6 เดือนไม่รอลงอาญา เห็นชัดว่ากระบวนการยุติธรรมไม่ได้ประนีประนอมคนยากคนจนที่ต่อสู้เพื่อชุมชนท้องถิ่นและเพื่อวิถีถิ่นกำเนิดเลย” จินตนาอธิบาย
คปร.แนะตั้ง “ศาลพิเศษ” พิจารณาคดีเฉพาะ
หลังจาก ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ กับนายบัณฑร อ่อนดำ กรรมการปฏิรูป (คปร.) ชุดอดีตนายกอานันท์ ปันยารชุน และดร.เดชรัต สุขกำเนิด เลขานุการคปร. ร่วมรับฟังเสียงคนจนสะท้อนภาพรวมปัญหาอันเนื่องมาจากความไม่เป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรมแล้ว
ม.ร.ว.อคิน ได้เสนอให้แก้ปัญหาเร่งด่วนการดำเนินคดีจับคนจนมาขังที่ไม่เป็นธรรม ส่วนระยะยาวแนะว่าอาจต้องเปลี่ยนการพิจารณาคดีลดการที่ศาลยึดข้อมูลเอกสารเป็นหลักฐานสำคัญที่สุดในการพิจารณาลง เพราะเอกสารเหล่านั้นไม่ได้ออกอย่างบริสุทธิ์ อีกทั้งแนะให้อาจต้องตั้งศาลพิเศษพิจารณาคดีเฉพาะขึ้น เช่น ศาลที่ดิน ศาลสิ่งแวดล้อม ฯลฯ โดยภาคประชาชนต้องร่วมกันผลักดันไม่ใช่คปร. ซึ่งนายบัณฑร ก็เห็นด้วยว่า ประชาชนต้องสามารถเข้ามามีส่วนร่วมแก้ปัญหากระบวนการยุติธรรมได้ด้วย ขณะเดียวกันเลขานุการคปร.ยืนยันว่าจะนำข้อสรุปเวทีนี้เสนอต่อคปร. ซึ่งเชื่อว่าจะมีการแก้ไขปัญหาภาพรวมของประเด็นนั้นๆ ที่ไม่ใช่การแก้ปัญหาเฉพาะรายคดีต่อไป
ขณะนี้คนกลุ่มนี้ได้เปิดโจทย์หิน ประเด็น “คนจน” ที่คณะกรรมการปฏิรูปและคณะสมัชชาปฏิรูปจะต้องหาคำตอบ เพื่อขีดกรอบการทำงาน “สร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม” ให้เป็นจริงให้ได้
อย่างน้อยที่สุด เสียงสะท้อนจาก “คนจนเรื้อรัง” ครั้งนี้ ก็ทำให้เกิดคำถามขึ้นในสังคมว่า
“เวลานี้กระบวนการยุติธรรมไทยกำลังป่วยอยู่หรือไม่ ? ทำไมความจนในสังคมไทยจึงรักษาไม่หายเสียที ? “