การเมืองไม่ใช่เรื่องในตำรา...ผลสำรวจภาพสะท้อนจากปัญญาชน
ภาพและเรื่องราวเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ยังคงประทับอยู่ในความทรงจำของใครหลายคน ขบวนการนักเรียน นิสิตนักศึกษา และประชาชน ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในสังคมไทย กระทั่งมีผู้คนสรุปว่า พลังเยาวชนและนักศึกษาเป็นหนึ่งในกำลังหลักของการเปลี่ยนแปลงในระบอบการเมืองไทย
และกลาย เป็นจุดสำคัญที่สังคมไทยหันมามองพลังเยาวชน นิสิต นักศึกษา ที่เป็นฟันเฟืองสำคัญ
ทว่า ปัจจุบันมีการตั้งข้อสังเกตบทบาทของเยาวชนและนิสิตนักศึกษากลับไม่ปรากฏชัดเจนเหมือนในอดีต แม้แต่ในเหตุการณ์ 19 กันยายน 2549 หลักๆ เราจะเห็นแต่กลุ่มและเสื้อสีต่างๆ
แล้วพลังทางการเมืองของเยาวชนหายไปไหนเสีย ?
นักรัฐศาสตร์รุ่นใหม่ อย่างอาจารย์ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พยายามหาคำตอบ “บางส่วน” เพื่อตอบคำถามข้างต้น โดยลงไปศึกษา "เยาวชนกับวิกฤติการเมืองไทย" ปัจจุบันว่า มีความคิดเห็นกันอย่างไร ลงมือลงแรงทำอะไรกันไปบ้างแล้ว
นักวิจัยรุ่นเยาว์ดีเด่นของคณะรัฐศาสตร์หญิงผู้นี้ เลือกเจาะจงสำรวจนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ได้ชื่อว่า มีประวัติศาสตร์ โดดเด่น เกี่ยวข้องกับความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในสังคมไทยมาอย่างยาวนาน
โดยดูว่า เขาเหล่านั้น ยังสนใจการเมืองอยู่หรือไม่ เห็นและอ่านการเมืองกันอย่างไร ซึ่งจากการจัดทำแบบสอบถาม จำนวน 465 ชุด แจกจ่ายไป 3 สาขาวิชา 4 ชั้นปี ให้นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มธ. จากนั้น ให้ประเมินตนเอง เพื่อจะได้เห็นภาพกว้างๆ
การสำรวจ พบว่า กว่าครึ่ง หรือ 52.7 % ระบุตนเองมีความสนใจและมีส่วนร่วมทางการเมืองน้อย โดยให้เหตุผล เบื่อ และเริ่มชินชากับเหตุการณ์การบ้านการเมือง
อีกส่วนประมาณ 36% ประเมินตนเอง สนใจการเมืองอยู่ในระดับกลาง มีเพียง 10% เท่านั้นที่ ระบุว่า ตนเองสนใจการเมืองค่อนข้างสูง
ขณะเดียวกัน นักศึกษาที่ประเมินตนเองมีส่วนร่วมทางการเมืองน้อยที่สุด คือ นักศึกษาชายจากสาขาการเมืองการปกครอง
และเมื่อถามต่อไปว่า ได้ร่วมกิจกรรมทางการเมืองอะไรบ้าง ก็พบว่า มีทั้งในและนอกมหาวิทยาลัย บางคนก็เขียนบทความวิเคราะห์สถานการณ์การบ้านการเมืองในนิตยสาร หนังสือพิมพ์ เป็นต้น
สำหรับปัจจัยที่ทำให้นักศึกษาสนในการเมืองมากที่สุด อาจารย์ชญานิษฐ์ บอกว่า มาจากอิทธิพลของครอบครัว กลุ่มเพื่อน ส่วนการเรียนการสอนในคณะกลับพบว่า มีส่วนน้อยที่ทำให้นักศึกษาสนใจการเมือง
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ผลสำรวจภาพกว้างๆ เช่นนี้แล้ว อาจารย์ชญานิษฐ์ ได้ใช้เวลาที่เหลือชวนนักศึกษาบางคนที่สนใจการเมืองแบบแอคทีฟ มานั่งพูดคุย จนพบว่า มีนักศึกษา ตั้งแต่บอกว่า ตัวเองเป็นเสื้อแดงชัดเจน บ้างก็เป็นแค่แนวร่วม หรือบางคนบอกเป็นเหลืองแบบไม่สุดโต่ง และก็มีไม่เอาทั้งเหลืองและแดง รวมทั้งมีหลายสีผสมปนเปอีกด้วย มีประเด็นสำคัญ ที่ทำให้นักศึกษาสนใจการเมือง คือเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ปี 2549 เป็นต้นมา
โดยเฉพาะ “จุดเปลี่ยน” ที่ต้องโดดเข้าไปสวมเสื้อ เป็นสีใดสีหนึ่ง ก็คือเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549
สำหรับนักศึกษาที่เรียกตัวเองว่า เป็นเหลืองแต่ไม่สุดโต่ง มีคำอธิบาย เมื่อเจอคำถาม “เยาวชนในฐานะ “อนาคตของสังคม” มีความคิดเห็นและบทบาททางการเมืองอย่างไร ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งในปัจจุบัน”
เขาบอกว่า สนใจการเมืองมาตั้งแต่ก่อนเข้ามหาวิทยาลัย ร่วมชุมนุมทางการเมืองครั้งแรก ก็เมื่อการชุมนุมใหญ่ของพันธมิตรฯ และไม่หวังกับการศึกษาในห้องเรียนเท่าไหร่ เพราะคิดว่าบางครั้งการเรียนในตำรากับความจริงข้างนอกมันไม่ตรงกัน ไม่สมดุลกัน ฉะนั้นจึงอยากไปเรียนรู้ของจริง
นักศึกษาที่เป็นเหลืองแต่ไม่สุดโต่ง ซึ่งเห็นด้วยกับพันธมิตรฯ บางเรื่อง ยังบอกอีกว่า “ผมไม่มีตำแหน่งทางการเมือง ไม่สามารถเรียกได้ว่า ตำแหน่ง และบทบาทของผมอยู่ตรงไหนชัดเจน ผมคิดว่าเยาวชนและกิจกรรมสมัยนี้ ต่างจากสมัย 14 ตุลาฯ ตรงที่ 14 ตุลาฯ เกิดจากแรงกดดันที่สะสมมาเป็นเวลานานทำให้มีจุดร่วมทางการเมืองที่ค่อนข้างไปด้วยกันได้ แต่สมัยนี้หลายคนมองไปที่อาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล เป็นหลัก”
แปลความได้ว่า จะเคลื่อนไหวทางการเมือง ก็อยากเป็นผู้นำเยาวชน ผู้นำนักศึกษา อยากเป็นแบบอาจารย์เสกสรรค์ เท่านั้น
ที่ไม่เลือกข้างก็มี นักศึกษาที่ไม่ได้เป็นทั้งเหลืองและแดง ให้ทรรศนะว่า ไม่จำเป็นต้องเลือกข้าง เพราะแม้จะมีบางประเด็นที่เห็นด้วย กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่มีหลายครั้ง ที่ความเห็น กิจกรรม ปรากฎการณ์ทางการเมือง แสดงให้เห็นว่า ทั้งสองสี สองฝ่ายไร้เหตุผลพอๆ กัน
ไม่เพียงเท่านี้ เมื่อตามไปดู “อิทธิพล” สำคัญที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งสมัย 14 ตุลาฯ พื้นที่ทางการเมือง คือการใช้เวลาว่างในมหาวิทยาลัยพูดคุยกัน แต่สมัยนี้ อาจารย์ชญานิษฐ์ บอกว่า สังคมออนไลน์เป็นที่สนใจของคนรุ่นใหม่ โดยนักศึกษาสะท้อนว่า เป็นความรู้สึกอิสระ ที่สามารถแสดงออกได้ตามต้องการ ซึ่งปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้สังคมออนไลน์เป็นที่นิยม คือ อยากพูดอะไรก็พูด ไม่มีใครรู้จักตัวตน และในพื้นที่สังคมความเป็นจริงพูดได้ไม่เท่ากัน ต่างกัน แต่พื้นที่สังคมออนไลน์ ทุกคนเท่ากัน
“ นักศึกษา บอกว่า สังคมออนไลน์ เหมือนสวนสาธารณะ “โคตร” ประชาธิปไตยมีพื้นที่พูดได้เท่ากัน เป็นประโยชน์ต่อการทำงานการเมือง เพราะลดทอนอุปสรรคด้านระยะทาง การสื่อสารได้เร็ว ปลอดภัย ยากติดตามสกัดความคิดเห็น บางคนก็บอกว่า เฟชบุคเป็น วิกิลีคส์ ที่มีชีวิตมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันตลอดเวลา”
อย่างไรก็ตาม นักศึกษาผู้แอคทีฟทางการเมือง บางคน ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะใช้สังคมออนไลน์ในการทำงานทางการเมือง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า มีบางคนตื่นตัวทางการเมืองเฉพาะในโลกออนไลน์เท่านั้น ในโลกความจริงไม่ได้ทำอะไร !!!
“ในโลกออนไลน์กับโลกความเป็นจริงต่างกันมาก เพราะในโลกจำลองอาจไม่ทำให้เกิดอะไรขึ้นในโลกความเป็นจริงเลย เปลี่ยนแปลงอะไรก็ไม่ได้ สังเกตง่ายๆ แค่ชื่อก็ชื่อปลอม แล้วจะเอาอะไรกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคมออนไลน์” นักศึกษาที่ประเมินตัวเองว่าแอคทีฟสนใจการเมือง ขยายความต่อ
อีกคำถามที่อาจารย์ชญานิษฐ์ นำไปถามเกี่ยวกับเรื่องประชาธิปไตย นักศึกษาจะบอกเหมือนๆ กันว่า “เขารู้ดีว่า คำว่าประชาธิปไตย เป็นคำเจ้าปัญหา เขาเห็นว่าที่ทะเลาะกันอยู่ทุกวันนี้ ก็ทะเลาะกัน เพราะคำๆ นี้นั่นแหละ”
และเมื่อถามต่อไปอีก ว่า คิดอย่างไรกับคำๆ นี้ พวกเขาก็ยังเชื่อว่า ประชาธิปไตย เป็นรูปแบบการปกครองที่เลวน้อยที่สุด และยังมีความหวังกับสังคมประชาธิปไตยแบบไทย จะอนุญาตให้คนที่มีความเห็น แตกต่างกันอยู่ร่วมกันได้
แม้อาจไม่มีบทสรุปจากความเห็นเพียงส่วนเสี้ยวบางส่วนของนักศึกษารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่ในฐานะ นักรัฐศาสตร์รุ่นใหม่ ทำการศึกษาเรื่องความขัดแย้งความรุนแรงทางชาติพันธุ์ มาก่อน อาจารย์ชญานิษฐ์ ได้นำภาพสะท้อนต่างๆ เหล่านี้ ไปดูกับทฤษฎีเรื่อง อนาคตสังคมการเมืองที่เกี่ยวโยงกับความหวัง
ก่อนจะทิ้งท้าย เป็นเครื่องหมายคำถาม ไว้บนเวทีในสัมมนาประจำปีคณะรัฐศาสตร์ 2554 "เมืองไทยหลังวิกฤติ?:ทิศทางการเมือง การบริหาร และการต่างประเทศ" ณ หอประชุมศรีบูรพา (หอเล็ก) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ว่า
“วันนี้กรอบโครงสร้างที่เป็นอยู่อนุญาตให้สมาชิกชุมชนการเมืองที่สนใจ ต้องการมีส่วนร่วมทางการเมือง สามารถพูด บอก แสดงออก อย่างที่ต้องการได้หรือไม่ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเห็นแตกต่างไปจากรัฐบาล
เพราะในการศึกษาเกี่ยวกับความขัดแย้งความรุนแรงทางการเมืองจำนวนหนึ่งพบว่า ความรุนแรงทางการเมืองเป็นผลมาจากความไม่สมดุล ระหว่างการมีส่วนร่วมทางการเมือง สถาบันทางการเมือง และเสถียรภาพทางการเมือง หมายความว่า ขณะที่สมาชิกชุมชนทางการเมือง มีความตื่นตัวทางการเมืองสูง โครงสร้างทางสังคมกลับไม่มีที่ให้กลุ่มคนเหล่านี้ได้แสดงออก ไม่มีพื้นที่ทางการเมืองเพียงพอ ซึ่งความไม่สมดุลดังกล่าวอาจส่งผลให้บางกลุ่มพยายามแสดงตัวตนและความคิดเห็นผ่านวิธีการที่รุนแรงได้ในที่สุด"