‘มาบตาพุดใสสะอาด’ รูปธรรมจากรัฐ ผลักให้ไกลกว่าแค่...แนวคิด

เมื่อการพัฒนาที่มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างเข้มข้น จนเกินเลยขีดความสามารถธรรมชาติจะเยียวยาและจัดการด้วยตัวของมันเอง อย่างกรณี “มาบตาพุด” อาจกล่าวได้ว่า เป็นหนังซีรีย์เรื่องยาวที่ยังต้องติดตามต่อ
เพราะนี่คือภาพสะท้อนชัดให้เห็นถึงการดำเนินนโยบายการพัฒนาประเทศที่ไม่ได้คำนึงถึงหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน
หากนับถึงวันนี้ เป็นครั้งที่ 3 แล้ว สำหรับการลงพื้นที่ติดตามรายงานผลการแก้ไขปัญหาในพื้นที่มาบตาพุดและบริเวณใกล้เคียง จังหวัดระยอง ของนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานอนุกรรมการติดตามรายงานการแก้ไขปัญหาในพื้นที่มาบตาพุด
ความน่าสนใจอยู่ที่สิ่งที่จะดำเนินการต่อไป คือ โครงการที่จะทำให้ “มาบตาพุดใสสะอาด” หรือ มาบตาพุดเป็นเมืองอุตสาหกรรมใสสะอาด โครงการระยะยาว ใช้เวลา 2 – 3 ปี ด้วยงบประมาณดำเนินการเบื้องต้น 88 ล้านบาท
มีทั้งเรื่องจะทำอย่างไรให้เสียง ให้กลิ่นไม่ออกมารบกวนประชาชน รวมไปถึงระบบการจัดการกับกากขยะ
เลขาธิการนายกฯ ประกาศชัดว่า นี่จะเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่จะมีการตรวจสุขภาพพี่น้องในชุมชนมาบตาพุดอย่างละเอียดมากถึง 35,000 คน ทั้งตรวจเลือด เอ็กซเรย์ปอดในปีนี้ การตรวจสุขภาพคนในชุมชนมาบตาพุดอย่างเดียวไม่พอ หลังจากนั้นจะมีการติดตามดูแลพี่น้องประชาชนอย่างดี และอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี จากการสอบถามคนมาบตาพุดเบื้องต้น แม้ว่าส่วนใหญ่ไม่อยากจะตรวจสุขภาพ เพราะยังมีอดีตยังฝังใจที่เวลาตรวจสุขภาพแล้วก็ไม่ได้รับการรายงานผลว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้นั้น ในฐานะประธานอนุกรรมการติดตามรายงานการแก้ไขปัญหาในพื้นที่มาบตาพุด ยืนยันว่า แก้ไขได้โดยจะมีการขอความร่วมมือไปยังกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้เข้าไปดำเนินการตรวจสุขภาพ รายงานผล และเข้าไปดูแลรักษาให้ครบบริบูรณ์จริงๆ
สำหรับความพยายามในการออกมาตรการเยียวยาต่างๆ นั้น ในมุมมองนายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน บอกว่า ลึกๆ คิดว่า ‘มาบตาพุดใสสะอาด’ เป็นโครงการที่รัฐบาลพยายามเสนอขึ้นมาในเชิงจิตวิทยามากกว่าที่จะผลักดันให้เกิดขึ้นอย่างจริงจัง แต่หากถือกำเนิดเกิดขึ้นจริงดั่งว่า ก็ไม่ควรยุติแค่ 2-3 ปี ควรจะเป็นภารกิจต่อเนื่อง ระยะยาว และควรมีการตั้งงบประมาณเพื่อบริหารจัดการเอาไว้เลย
“มีโครงการมาบตาพุดใสสะอาด เป็นสิ่งที่ดี แต่หากจะเป็นแค่โครงการเพื่อเอามาโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ว่ารัฐบาลใส่ใจที่จะดูแลคงไม่ได้ จะต้องมีความชัดเจน และเป็นรูปธรรมมากกว่านี้ เรื่องเหล่านี้ไม่ควรจะเป็นแค่แนวคิดของรัฐบาล แต่ควรจะริเริ่มโดยรัฐบาล รวมทั้งต้องให้ความสำคัญกับองค์กรปกครองเชิงท้องถิ่นที่อยู่ในพื้นที่ และผู้ที่มีส่วนได้เสีย ให้มีส่วนร่วมในการมองเห็น ติดตาม และตรวจสอบการดำเนินการของโครงการประเภทนี้มากกว่าจะเป็นหน้าที่ขององค์กรภาครัฐ หรือภาคธุรกิจแต่เพียงฝ่ายเดียว”
คนต้นเรื่องผู้ฟ้องคดีมาบตาพุด “ศรีสุวรรณ จรรยา” ยังแสดงความเห็นกับมาตรการต่างๆ ที่คลอดออกมาเป็นระลอกๆ นั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องมารีบทำในเวลานี้ แต่ต้องทำมาก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤตการณ์สิ่งแวดล้อมด้วยซ้ำไป เพราะวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นกับมาบตาพุดนั้น รัฐบาลได้รับรู้รับทราบมาตั้งแต่สมัยที่เป็นฝ่ายค้าน ไม่ใช่มารับรู้ในช่วงที่เกิดการฟ้องร้องเป็นคดีความ และตั้งแต่มาถืออำนาจรัฐ มีอำนาจในการบริหารก็ยังไม่เห็นมีการขยับเขยื้อนอะไรที่เป็นรูปธรรม กระทั่งมีคำพิพากษาของศาลออกมา รวมทั้งมีขบวนการจากภาคประชาชนเพิ่มมากขึ้น รัฐบาลก็เลยหันมาใส่ใจ
ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินการตามข้อเรียกร้องของชาวบ้าน การสร้างโรงพยาบาล 200 เตียง ศูนย์อนามัยและเวชศาสตร์ การขยายระบบประปาให้ครอบคลุมมากขึ้น และการจัดการกับระบบขยะที่มีปัญหาให้มีพื้นที่รองรับมากขึ้น
“เหล่านี้เป็นประเด็นที่ไม่ควรรอให้ชาวบ้านมาเรียกร้อง แต่ภาครัฐบาลต้องเล็งเห็น และคาดการณ์ได้ก่อนแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น จากการที่ประเทศไทยมีนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ที่เป็น Heavy industrial pollution ว่าจะต้องเกิดปัญหามลพิษตามมา ทั้งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพอนามัยประชาชน จำนวนคนงานที่ต้องโยกย้าย-อพยพ แย่งกันกิน แย่งกันใช้ รวมทั้งปัญหาขยะต่างๆ เหล่านี้ ที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่รัฐบาลยังไม่ให้ความสำคัญ”
การหันมากุลีกุจอ ใส่ใจสุขภาพคนในพื้นที่มาบตาพุดในช่วงนี้นั้น นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน มีข้อเสนอะสำหรับโรงพยาบาลศูนย์อาชีวเวชศาสตร์ กับการตรวจวัดสุขภาพของประชาชน ควรจัดทำตารางการตรวจวัดสุขภาพประจำปีของประชาชน เพื่อที่จะได้รับทราบความเปลี่ยนแปลงของปัญหาสุขภาพด้วย เนื่องจากปัญหามลพิษ เป็นที่รู้ดีอยู่แล้วทางระบาดวิทยาว่าไม่สามารถสะท้อนความเจ็บป่วยได้ภายใน 1 วัน หรือ 1 เดือน แต่พิษภัยจะสะสมไปเรื่อยๆ แล้วมาสำแดงผลในภายหลัง
ตรงนี้เป็นประเด็นที่สำคัญมากกว่าจะมาจัดข้อมูลขึ้นมา เพื่อเอามาโชว์ต่อสาธารณชน หรือต่อชั้นศาลว่าไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น
“ประชากรในมาบตาพุดมีมากกว่านั้น มีประชากรที่แท้จริง และประชากรแฝงกว่า 100,000 คน ตัวเลขแค่ 35,000 คนของเป้าหมายโครงการตรวจสุขภาพ ถือว่า เล็กน้อยมาก รัฐบาลต้องให้ความคุ้มครองกับประชาชนทุกคนที่เป็นคนไทย และหากมองในแง่สิทธิมนุษยชนเราต้องให้ แม้แต่ความคุ้มครองกับแรงงานต่างด้าว เพราะคนที่เข้าไปทำงานที่มาบตาพุดล้วนมีสิทธิ์ได้รับผลกระทบจากพิษเท่ากันหมด ทุกคนสร้างผลประโยชน์มวลรวมของจังหวัด ของประเทศเท่ากัน จึงควรมีสิทธิ์ได้รับการดูแลรักษาสุขภาพ เฉกเช่นเดียวกับคนมาบตาพุดที่มีทะเบียนบ้านอยู่ที่นั่น ตามที่รัฐธรรมนูญได้คุ้มครองไว้” เอ็นจีโอ ฝีปากกล้า ยังโฟกัสตรงจุดไปที่งบประมาณ ที่รัฐบาลต้องเพิ่มส่วนนี้ไปให้กับหน่วยงานที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง
ด้วยเหตุผลที่ว่า ผลประโยชน์มวลรวมที่โรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่มาบตาพุดสร้างให้กับประเทศปีหนึ่งๆ กว่าหมื่นล้านบาท
ขณะที่นายสุทธิ อัชฌาศัย ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก ยังไม่เห็นนิยาม ‘มาบตาพุดใสสะอาด’ แต่ถ้าดูจากตัวเนื้องาน ทั้งเรื่องของแนวป้องกัน การจัดทำผังเมือง (Buffer Zone) รวมทั้งการนำไปปฏิบัติ ตลอดจนการเติมเต็มด้านเทคนิคในการกำจัดมลพิษในมาบตาพุด ซึ่งสิ่งเหล่านี้รัฐบาลได้ดึงมาจากมติของคณะกรรมการสี่ฝ่ายฯ ก็นับเป็นรูปธรรมจากรัฐที่เริ่มกลับมาเห็นความสำคัญของพื้นที่
“ส่วนจะเยียวยาคนมาบตาพุดได้มากน้อยแค่อย่างไรนั้น เป็นเรื่องที่ตอบได้ยาก ในแง่ของความสำเร็จก็ต้องขึ้นอยู่กับกระบวนการด้วย การที่คณะรัฐมนตรีเข้ามาดูแลพื้นที่ด้วยตนเอง ทำให้เห็นความเอาจริงเอาจังของรัฐมากขึ้น รวมทั้งอาจทำให้การแก้ปัญหามีผลเร็วขึ้นก็เป็นได้ แต่ก็ถือเป็นเสี้ยวหนึ่งในการแก้ปัญหาในมาบตาพุดเท่านั้น
อีกทั้งระยะเวลา 2-3 ปีในการดำเนินโครงการ ถ้ามีกลไกและกระบวนการที่ดีก็มีความเป็นไปได้ที่โครงการจะสัมฤทธิ์ผล ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับการบังคับ ติดตั้ง การกำกับ และการประเมินผล โดยนำภาคประชาชน ท้องถิ่น และผู้ทรงคุณวุฒิเข้ามามีส่วนร่วมในการประเมินด้วย”
เขาจะอธิบายถึงปัญหาที่มาบตาพุด ต้องใช้องค์ความรู้อย่างมากในการแก้ไข ความพยายามของภาครัฐที่เกิดขึ้นนับได้ว่า การทำงานเริ่มเดินมาถูกทางมากขึ้น แต่ก็ยังไม่พอ ต้องใช้เครื่องมือมากกว่านี้ เช่น การเปิดเผยข้อมูลการระบายมลพิษ การจัดทำหรือประเมินสิ่งแวดล้อม ที่จะทำให้การแก้ปัญหาตรงจุด
เช่นเดียวกันกับการตั้งงบประมาณ ในโครงการ “มาบตาพุดใสสะอาด” นายสุทธิ เห็นว่า ต้องมีหลักประกันจะไม่ใช่ลักษณะของการ ‘จุดไฟและแก้ปัญหา’ เพราะไม่ว่างบประมาณจะมากหรือน้อย ค
วามยั่งยืนในการแก้ปัญหาก็ยังขึ้นอยู่กับกลไก กระบวนการทำงาน การประเมินอย่างเป็นระบบ และแก้ปัญหาอย่างตรงประเด็น
ซึ่งหลักประกัน ต้องประกอบด้วย 1. ต้องมีการประเมินสถานการณ์ปัญหาร่วมกันอย่างเป็นระบบ ปัญหาเกิดจากอะไร ตรงไหน อย่างไรบ้าง 2. ระบุวิธีการแก้ปัญหาร่วมกัน เช่น ปัญหาที่เป็นเรื่องเร่งด่วนมีอะไรบ้าง เรื่องของการควบคุมมลพิษฯ เพื่อให้เกิดรูปธรรมในการจัดการปัญหาในเชิงที่สามารถหาคำตอบได้
อย่างไรเสีย แกนนำเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก เห็นว่า การตรวจสุขภาพคนในพื้นที่มาบตาพุด คงไม่สามารถตอบโจทย์ไปสู่การแก้ไขปัญหาสุขภาพที่แท้จริงได้ แต่ก็ถือว่าเป็นตัวตั้งต้นที่ทำให้เริ่มมีการบันทึกข้อมูล เพื่อกำหนดการป้องกันและเฝ้าระวัง เนื่องจากที่ผ่านมา เมื่อไม่มีข้อมูลประวัติของผู้ป่วย จึงก็ไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้
ย้อนกลับไปดูชีวิตของลุงน้อย ใจตั้ง ชุมชนเกาะกก-หนองแตงเม เขตเทศบาลเมืองมาบตาพุด ที่คนในครอบครัวล้มหายตายจากไปทีละคน โดยที่เขาไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง แต่เชื่อว่า อาจเกิดจากผลกระทบมลพิษโรงงานอุตสาหกรรมในมาบตาพุด แกบอกว่า ที่บ้านเพิ่งได้มีน้ำประปาใช้ก็ตอนที่เลขาธิการนายกฯ และคณะ ลงพื้นที่ไปแก้ปัญหาเรื่องน้ำประปา โดยได้รับปากว่า อย่างไรเสียลุงน้อยก็จะได้ใช้น้ำประปาแน่นอน
แม้จะเป็นไปตามนั้น แต่ด้วยปริมาณน้ำที่จ่ายจากท่อประปา ไม่เพียงพอ ไหลกะปริดกะปรอย ทำให้ชายชราผู้นี้หันกลับไปพึ่งน้ำจากบ่อบาดาลเช่นเดิม
และเมื่อนั่งลงพูดคุย ถามถึงโครงการมาบตาพุดใสสะอาด ในอนาคตหากจะเกิดขึ้น ลุงน้อย พยายามมองถึงความเป็นไปได้ ก่อนจะตอบให้เป็นบทสรุปว่า
“เห็นแต่ “เงา” ที่ไกลมาก เชื่อไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ 50:50 ไม่แน่ใจ เพราะทุกคนก็เฝ้าระวังอยู่ ทั้งปัญหาเรื่องกลิ่น ขยะ คุณภาพของน้ำดื่มน้ำใช้ การเจ็บป่วย การเข้าถึงการรักษา ก็ยังเป็นความทุกข์ร้อนของชาวมาบตาพุดจนทุกวันนี้”
