1 ปี 11 โครงการ กับเรื่องที่ "ไม่สำเร็จ"ของ"สธ."
หลังจากนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2553
1 ปี...ผ่านไป ไวเหมือนโกหก ยิ่งเมื่อสำรวจตรวจสอบการทำงานของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในช่วงตลอด 1 ปี ก็พอจะสรุปได้ว่ามีการขับเคลื่อนนโยบายหลายด้าน ส่วนใหญ่เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวไทยให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งล่าสุดนายจุรินทร์ได้แถลงว่า เวลาเกือบ 1 ปี ที่เขาไปนั่งบริหารกระทรวงหมอ ได้ผลักดันนโยบายจนประสบความสำเร็จสรุปได้มากถึง 11 โครงการ ประกอบด้วย
1.โครงการรักษาฟรี 48 ล้านคน ใช้บัตรประชาชนใบเดียว ซึ่งดำเนินการพร้อมกันทั่วประเทศในวันที่ 1 ตุลาคม 2553 โดยในปีงบประมาณ 2554 ได้เพิ่มอัตราเหมาจ่ายรายหัวจากเดิม 2,402 บาทต่อคนต่อปี เป็น 2,546 บาทต่อคนต่อปี นอกจากนี้ ยังเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีขยายการบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรโดยรัฐ (ซีแอล) ในกลุ่มยาต้านไวรัสเอดส์ 2 รายการ คือ ยาสูตรสำรองในกลุ่มยาเอฟฟาไวเรนซ์ (Efavirenze) และยาสูตรผสมระหว่าง โลพินาเวียร์กับริโทรนาเวียร์ (Lopinavir/Ritronavir) เพื่อให้ขยายเวลาการทำซีแอล ไปจนสิ้นอายุสิทธิบัตร โดยยาเอฟฟาไวเรนซ์จะหมดสิทธิบัตร ในวันที่ 31 มกราคม 2555 ส่วนยาสูตรผสมฯ จะหมดสิทธิบัตรวันที่ 4 ธันวาคม 2559 พร้อมทั้ง ยังครอบคลุมถึงบุคคลซึ่งรอพิสูจน์สัญชาติ จำนวน 457,000 ราย โดยโรงพยาบาลตามแนวชายแดน 172 แห่ง จะเป็นผู้ดูแลบุคคลกลุ่มดังกล่าว
2. โครงการยกระดับสถานีอนามัย (สอ.) เป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) จำนวน
9,762 แห่ง เพื่อช่วยให้ประชาชนในตำบล หมู่บ้าน และชุมชนได้รับบริการที่ดีขึ้นโดยเฉพาะงานส่งเสริมสุขภาพ ควบคุมป้องกันโรค การคุ้มครองผู้บริโภค รวมถึงการรักษาพยาบาลสำหรับโรคพื้นฐานเบื้องต้น ซึ่งขณะนี้ยกระดับเป็น รพ.สต.แล้วทั้งสิ้น 4,010 แห่ง คาดว่าจะดำเนินการเสร็จสิ้นภายในวันที่ 31 มีนาคม 2554
3.โครงการโรงพยาบาลยุคใหม่ เพื่อคนไทยสุขภาพดี หรือโรงพยาบาล 3 ดี (3S) ประกอบด้วย
1.บรรยากาศดี (Structure) เป็นการปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้มีบรรยากาศดี โดยเฉพาะแผนกต้อนรับจะอยู่ในชุดเครื่องแบบใหม่ที่สะดุดตา 2. บริการดี (Service) พัฒนาระบบบริการ ลดการรอนาน ให้บริการที่รวดเร็ว และ3. บริหารดี (System) พัฒนาการบริหารจัดการภายในโรงพยาบาลให้มีคุณภาพ ซึ่งโรงพยาบาลยุคใหม่ได้เปิดให้บริการพร้อมกันทั่วประเทศในวันที่ 12 สิงหาคมที่ผ่านมา และได้ประเมินคุณภาพทุกๆ 3 เดือน
4.โครงการ “เพิ่มไอโอดีน เพิ่มไอคิว” โดยได้ลงนามในประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ 4 กลุ่ม ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2553 เป็นต้นไป
ประกอบด้วย เกลือบริโภค น้ำปลา น้ำเกลือปรุงอาหาร และผลิตภัณฑ์ปรุงรสที่ได้จากการย่อยโปรตีนของถั่วเหลือง เช่น ซีอิ๊ว ซอสปรุงรส โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. เกลือบริโภค กำหนดให้เกลือบริโภคต้องมีปริมาณไอโอดีนไม่น้อยกว่า 30 มิลลิกรัมต่อเกลือ
บริโภค 1 กิโลกรัม
2. กำหนดการแสดงฉลากของเกลือบริโภค เช่น ต้องมีเลขสารบบอาหารในกรอบ
เครื่องหมายสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
3. ต้องมีข้อความเกลือบริโภคเสริมไอโอดีนด้วยขนาดตัวอักษรที่อ่านได้ชัดเจน
4. สำหรับน้ำปลา น้ำเกลือปรุงอาหาร และผลิตภัณฑ์ปรุงรสที่ได้จากการย่อยโปรตีนของถั่วเหลืองได้กำหนดให้มีปริมาณไอโอดีนไม่น้อยกว่า 2 มิลลิกรัม และไม่เกิน 3 มิลลิกรัมต่อน้ำปลา 1 ลิตร หรือ ต่อน้ำเกลือปรุงอาหาร 1 ลิตร หรือ ต่อผลิตภัณฑ์ปรุงรสที่ได้จากการย่อยโปรตีนของถั่วเหลือง 1 ลิตร
อีกทั้งมีนโยบายแจกไอโอดีนเม็ดที่มีสารไอโอดีน เหล็ก และโฟเลทอยู่ในเม็ดเดียวให้แก่หญิงตั้งครรภ์ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2553 เป็นต้นไป
5.ประสบความสำเร็จในการควบคุมโรค โดยเฉพาะโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 และโรคไข้เลือดออก ซึ่งปีนี้ สธ.ได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ทั่วประเทศ ดำเนินการป้องกันโรคตั้งแต่ก่อนถึงฤดูกาลระบาด คือช่วงเดือนพฤษภาคม – ตุลาคม พร้อมทั้งมีมาตรการเชิงรุกในการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ตั้งสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว โดยสถาบันดังกล่าวตั้งเป้าผลิตวัคซีนพื้นฐาน 7 ตัว ภายใน 10 ปี ได้แก่ วัคซีนคอตีบ วัคซีไอกรน วัคซีนบาดทะยัก วัคซีนตับอักเสบบี วัคซีนวัณโรค วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี และวัคซีนไข้เลือดออก
6. การออกประกาศกรณีกระเช้าของขวัญ เรื่อง การแสดงฉลากของอาหารจัดรวมในภาชนะ โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 15 ธันวาคม 2553 ซึ่งอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 และมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) อาหาร พ.ศ.2522 โดยสาระสำคัญ ประกอบด้วย
1.ให้อาหารมากกว่าหนึ่งชนิด หรือชนิดเดียวกันแต่มีหลายจำนวน ซึ่งจัดรวมอยู่ในภาชนะเดียวกันที่มีการหุ้มห่อเพื่อจำหน่าย ไม่ว่าจะเป็นกระเช้า ตะกร้า กล่อง ถุง หรือภาชนะใดเป็นอาหารที่ต้องแสดงฉลาก 2.การแสดงฉลากของอาหารตามข้อ 1 ต้องมีข้อความเป็นภาษาไทย ที่เห็นได้ชัดเจนอ่านได้ง่าย และต้องมีข้อความดังต่อไปนี้ 2.1.ชื่อ ประเภท หรือ ชนิดของอาหารแต่ละรายการที่บรรจุ 2.2.วันเดือนปีที่หมดอายุหรือควรบริโภคก่อนของอาหารตามข้อ 2.1. ทั้งนี้ หากฝ่าฝืนจะมีโทษปรับไม่เกิน 30,000 บาท นอกจากประกาศกระทรวงฯ ในเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภคเกี่ยวกับรายการสินค้าต่างๆ ขณะเดียวกันจะยังคุ้มครองในเรื่องสุขภาพอนามัย โดยห้ามมีการนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พ่วงกับสินค้าในกระเช้าของขวัญอย่างเด็ดขาด หากฝ่าฝืนจะผิดตามมาตรา 30 (5) พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 มีโทษจำคุก 6 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
7.การยกระดับศูนย์อาชีวเวชศาสตร์ เป็น “สถาบันอาชีวเวชศาสตร์และเวชศาสตร์สิ่งแวดล้อม” ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว โดยสถาบันฯ มีภารกิจจัดทำฐานข้อมูลเพื่อเป้าหมายในการป้องกันและแก้ปัญหาผลกระทบด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และทำหน้าที่ประเมินผลกระทบทางด้านสุขภาพ (เอชไอเอ) อีกทั้ง ครม.ยังเห็นชอบในการเพิ่มศักยภาพของโรงพยาบาลมาบตาพุด จ.ระยอง จากโรงพยาบาล 30 เตียง ยกระดับเป็นโรงพยาบาลขนาด 200 เตียง โดยอนุมัติอัตรากำลังคนเพิ่มอีก 238 อัตรา จากปัจจุบันมีเพียง 91 อัตราเท่านั้น
8. การควบคุมโรคหลังน้ำท่วม ประสบความสำเร็จในการป้องกันไม่ให้เกิดโรคระบาด ทั้งโรคระบบทางเดินอาหาร และโรคฉี่หนู นอกจากนี้ ยังป้องกันไม่ให้เกิดปรากฎการณ์ฆ่าตัวตายจากสาเหตุน้ำท่วม เนื่องจากได้มีการส่งทีมจากกรมสุขภาพจิตเข้าไปเยียวยา
9.ความก้าวหน้าในการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ ทั้งนี้ในส่วนของการควบคุมบุหรี่ได้ออกประกาศฉบับที่ 19 เรื่อง กำหนดส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดของสถานที่สาธารณะเป็นเขตปลอดบุหรี่ ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ พ.ศ.2535 ประกอบด้วย 1.สถานบริการสาธารณสุขและส่งเสริมสุขภาพ 2.สถานศึกษา 3.สถานที่สาธารณะที่ใช้ประโยชน์ร่วมกัน ได้แก่ สถานที่ออกกำลังกาย สถานกีฬา ร้านค้า สถานบริการและบันเทิง บริเวณโถงพักคอย และบริเวณทางเดินทั้งหมดภายในอาคาร สถานบริการทั่วไป สถานที่ทำงาน สถานที่สาธารณะทั่วไป 4.ยานพาหนะสาธารณะทุกประเภท ได้แก่ ยานพาหนะสาธารณะ ในขณะให้บริการไม่ว่าจะมีผู้โดยสารหรือไม่ก็ตาม และสถานีขนส่งสาธารณะทุกประเภท และ 5.ศาสนสถาน และสถานปฏิบัติธรรม
ขณะที่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีการออกประกาศตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 เพิ่มเติม ในเรื่องการโฆษณา คือมาตรา 32 วรรค 2 ที่ระบุว่าการโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ใดๆโดยผู้ผลิตกระทำได้เฉพาะการให้ข้อมูลข่าวสาร และความรู้เชิงสร้างสรรค์สังคม โดยมีการปรากฏภาพของสินค้า เว้นแต่เป็นการปรากฎของภาพสัญลักษณ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
10.การให้สิทธิประโยชน์แก่อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) กว่า 1 ล้านคน กรณีจ่ายค่าตอบแทนเดือนละ 600 บาท และเพิ่มสิทธิการศึกษาต่อถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และสิทธิการยกเว้นค่าห้องพิเศษการรักษาพยาบาลให้แก่ อสม.ทุกคน
11.ความก้าวหน้าของร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองอนามัยการเจริญพันธุ์ พ.ศ. ... ที่คุ้มครองสิทธิทางเพศในทุกช่วงวัยเจริญพันธุ์ จนกระทั้งถึงวัยทอง โดยมีสิทธิได้รับคำปรึกษา และการคุ้มครองทางเพศ ฯลฯ ซึ่งล่าสุดได้ผ่านความเห็นชอบจาก ครม.แล้ว และอยู่ระหว่างการเสนอเข้าคณะกรรมการกฤษฎีกา ขณะเดียวกัน ครม. ยังเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.วิชาชีพการสาธารณสุข พ.ศ.... ที่ส่งผลให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั่วประเทศ มีวิชาชีพรองรับเช่นเดียวกับแพทย์ ทันตแพทย์ นักเทคนิคการแพทย์ ฯลฯ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาเช่นกัน
ส่วนเรื่องที่ยังผลักดันไม่แล้วเสร็จคือ ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ได้รับความเสียหายจากการบริการสาธารณสุข พ.ศ.... นายจุรินทร์ ให้เหตุผลว่า ล่าสุดอยู่ในระเบียบวาระการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร และทุกอย่างอยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งสอดคล้องกับที่ก่อนหน้านี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ยืนยันหนักแน่นว่าจะมีการผลักดันร่างกฎหมายดังกล่าวแน่นอน
ประเด็นร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ ถือเป็นนโยบายสำคัญไม่น้อยไปกว่า 11 โครงการ ที่รัฐมนตรี สธ. ได้แถลงไว้ เพราะหากร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ผ่านฉลุย ก็คงจะได้ใจจากภาคประชาชนไปไม่ใช่น้อย แต่ที่น่าสนใจคือ กว่า 1 ปีที่ สธ.ได้เสนอได้เสนอร่างกฎหมายลูกตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 จำนวน 4 ฉบับ เพื่อให้คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติที่มี พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พิจารณาก่อนบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง จนถึงขณะนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะสำเร็จออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรม
กฎหมายลูกทั้ง 4 ฉบับนั้น ประกอบด้วย ฉบับที่ 1 ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การห้ามขายเหล้าปั่น ฉบับที่ 2 ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การกำหนดสถานที่หรือบริเวณห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเน้นบริเวณรอบสถานศึกษา ในระยะห่างไม่เกิน 500 เมตร นับจากรั้วสถานศึกษา ฉบับที่ 3 ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดสถานที่หรือบริเวณห้ามดื่ม และฉบับที่ 4 ประกาศคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ ฉลาก พร้อมทั้งข้อความคำเตือน สำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผลิตหรือนำเข้า โดยให้แก้ไขคำเตือนบนฉลากจากอายุ 18 ปี เป็น 20 ปี และให้มีภาพคำเตือนคล้ายกับยาสูบ
โดยหลักการแล้ว หากคณะกรรมการฯ เห็นชอบกฎหมายทั้ง 4 ฉบับ ก็จะเสนอให้นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขลงนาม เพื่อให้มีผลบังคับใช้ ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 ธันวาคมที่ผ่านมา ก็มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ มี พล.ต.สนั่น เป็นประธานอีกเช่นเดิม แต่ก็ไม่ได้ข้อสรุปใดๆ นอกจากคำตอบเดิมที่ว่า “จนถึงขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา” ไม่รู้ว่าสาเหตุที่ล่าช้า เป็นเพราะยังได้ข้อมูลประกอบการพิจารณาไม่ครบถ้วน หรือเป็นเพราะเหตุผลใดกันแน่
