'เกาเหลาไม่งอก-น้ำพริกปลาทู-ต้มยำกุ้งน้ำโขง' ภาพสะท้อนอนาคตประเทศ 10 ปีข้างหน้า

ปรากฎการณ์ของการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายที่มีสี “เสื้อ” เป็นสัญลักษณ์ ความรุนแรง และความสูญเสียที่เกิดขึ้นปัจจุบัน เป็นประจักษ์พยานถึงกาลกลียุคของสังคมไทยที่มาเร็วและยากจะคาดเดาถึงหนทางออกแห่งสันติ และท่ามกลางสถานการณ์ที่ประเทศกำลังเผชิญกับความขัดแย้งทางความคิดอยู่นี้ คนในสังคมอีกด้านหนึ่งก็กำลังช่วยกันแสวงหาคำตอบว่า
ประเทศไทยจะก้าวไปในทิศทางใด ในอีก 10 ปีข้างหน้า
เป็นเวลากว่า 1 ปีที่สถาบันคลังสมองของชาติ ภายใต้มูลนิธิส่งเสริมทบวงมหาวิทยาลัย ร่วมกับ ศูนย์คาดการณ์เทคโนโลยีเอเปค สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) ซึ่งเป็นพันธมิตรหลัก ได้ทำการศึกษา “ภาพอนาคตประเทศไทย 2562” โดยมีการจัดประชุมระดมสมองผู้รู้ และผู้ทรงคุณวุฒิหลายกลุ่ม ทั้งที่เป็นผู้แทนจากองค์กรรัฐ ภาคเอกชน ภาคธุรกิจ นักวิชาการ นักพัฒนา ศิลปิน สื่อมวลชน ตลอดจนเยาวชน จำนวน 4 ครั้ง จากนั้นได้นำภาพอนาคตที่มีความเหมือนและแตกต่างกัน มาสกัด จนได้ผลการศึกษาสรุปได้ว่า
ภาพอนาคตประเทศไทย 2562 มีแนวโน้มที่จะเป็นไปได้อยู่ด้วยกัน 3 ภาพ คือ “เกาเหลาไม่งอก น้ำพริกปลาทู และต้มยำกุ้งน้ำโขง”
ภาพอนาคต ไม่ใช่การทำนายล่วงหน้า
ศ.ดร. ปิยะวัติ บุญ-หลง ผู้อำนวยการสถาบันคลังสมองของชาติ กล่าวว่า ภาพแต่ละภาพที่ตั้งขึ้น โดยใช้ชื่ออาหารต่างชนิดกันนั้น เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนสภาวะที่เกิดขึ้น รวมทั้งช่วยบ่งบอกถึงความเป็นประเทศไทยแต่ละมุมมอง ให้สามารถเข้าใจง่ายและชัดเจน ซึ่่งการศึกษาและมองภาพอนาคตเช่นนี้ ไม่ใช่การทำนายล่วงหน้า แต่เป็นการเตรียมการในการมองว่า โอกาสที่จะมีสิ่งต่างๆเกิดขึ้นในอนาคตมีอะไรบ้าง
“ตลอดระยะเวลา 1 ปี จากการสำรวจ 3 กลุ่มวัย คือ วัยชรา วัยทำงาน และวัยเด็ก เราได้ความคิดเห็นมากมาย และจากความคิดเห็นร่วมของผู้เข้าร่วมศึกษาทั้งหมด จนได้เป็น 3 ภาพดังกล่าว เพื่อช่วยให้คนไทยตระหนักและคิดร่วมกันหาภาพ หาทางออกในสิ่งที่ต้องการให้เกิดขึ้นจริงในอีก 10 ปีข้างหน้า อย่างน้อยก็เป็นจุดเริ่มในการช่วยกันหาข้อดีข้อเสียร่วมกัน เหตุการณ์อาจจะเกิดขึ้นในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี หรือ 2 ปีหลังจากนี้ หรือ กี่เดือน กี่วัน เราไม่สามารถกำหนดได้ แต่เมื่อได้ภาพต่างๆแล้ว ก็จะเป็นสิ่งที่เราต้องแก้ไขต่อไป”
ผอ.สถาบันคลังสมองของชาติ ยอมรับว่า การศึกษาภาพอนาคตประเทศอาจจะเป็นเพียงการศึกษาเฉพาะกลุ่ม แต่ต้องการจะสื่อให้เห็นภาพโดยรวม จากความคิดเห็นของคนใหญ่ๆ กลุ่มหนึ่ง ซึ่งในอนาคตจะลงไปศึกษาเพิ่มเติมในแต่ละพื้นที่ โดยวางเป้าหมาย 4 จังหวัดแรก ก่อนขยายต่อไปทำให้ครบทั้งประเทศ ทั้งนี้ จังหวัดขอนแก่น มีการทำไปบ้างแล้ว มีการวาดภาพขอนแก่นในทศวรรษหน้า แต่แตกต่างที่การทำงานไม่ใช้กระบวนการนี้ เพราะที่นั่น มีการวาดภาพเองและทำกันอย่างง่ายอยู่แล้ว ซึ่งทางสถาบันคลังสมองของชาติจะเข้าไปร่วมดูแลเพิ่มเติม ช่วยสร้างให้ชุมชนเข้มแข็ง เพื่อโยงมาสู่ประเทศต่อไป
เกาเหลาไม่งอก ภาพที่มาก่อนกาล
ศ.ดร. ปิยะวัติ เริ่มต้นขยายความภาพ “เกาเหลาไม่งอก” ว่า เป็นการเปรียบเทียบ เมื่อสังคมไทยเข้าสู่สังคมกลียุค มีความแตกแยก คนต่างด้าวหรือกลุ่มคนหลากหลายชาติพันธ์ที่มีอยู่มาก จะลุกขึ้นขึ้นมาเรียกร้องสิทธิ ขัดแย้งกันทางขั้วของความคิดทั้งการเมือง สังคม วัฒนธรรม เกิดเป็นสงครามกลางเมืองไม่มีที่สิ้นสุด หลายสถาบันไม่ทำหน้าที่เช่นเดิม ทั้ง อำนาจประชาชน อำนาจตุลาการ อำนาจศาล แม้กระทั่งอำนาจสถาบันพระมหากษัตริย์ก็จะเปลี่ยนแปลงไป เหมือนเกาเหลาไม่งอก ที่ไม่มีเส้น ไม่มีถั่วงอก แต่ยังไม่สามารถที่จะกินร่วมกันได้ หรือไม่อาจจะมองหน้ากันได้เช่นเดิม
“ ภาพ “น้ำพริกปลาทู” จะเป็นภาพที่ดูไม่ร้ายแรง ยังมีการประนีประนอมกันได้บ้าง และสามารถอยู่ร่วมกันได้ในสังคม โดยภาพน้ำพริกปลาทู เปรียบกับตัวแทนวัตถุดิบอาหารที่สามารถหยิบจับได้ทั่วทุกภาค เหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก แต่มารวมในจานเดียวกัน ประชาชนก็เช่นกัน แทนที่จะมีการขัดแย้งกันแต่ละภูมิภาค แม้อาจจะมีการปกครองตนเองโดยวิธีการพิเศษเฉพาะ แต่จะมีการล้อมวงเพื่อพูดคุยเจรจากันได้ ถือคติว่า อยู่แบบแตกต่าง แต่ไม่แตกแยก จากเศรษฐกิจที่เคยอยู่แบบพอเพียง ก็จะช่วยให้เกิดเป็นเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ขึ้นได้”
ส่วนภาพสุดท้าย “ ต้มยำกุ้งน้ำโขง” ผู้อำนวยการสถาบันคลังสมองของชาติ อธิบายว่า เป็นภาพที่ก่อให้เกิดผลดี ที่มีความท้าทายซ้อนอยู่มาก หลากสี ซ้อนทับกับด้านภูมิศาสตร์ แต่ยังพูดคุยกันได้ ทั้งจากคนไทยด้วยกัน และกลุ่มประเทศอาเซียน ที่ต่อไปจะเข้าไปทะลายกำแพงของแต่ละประเทศในกลุ่มอาเซียน ให้เปรียบเสมือนเป็นประเทศเดียวกัน มีการเจริญเติบโตด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นร่วมกันในอนาคต ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง ที่จะมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทางด้านภาษาและการศึกษา เพิ่มขึ้นเป็นภาษาที่ 3 -4 และมีเมืองหลวงทางเศรษฐกิจเป็น จังหวัด ที่อยู่ตามแนวรอยต่อตะเข็บชายแดนประเทศไทยอีกด้วย
แม้การมองภาพอนาคตจะมีอยู่หลายวิธี สำหรับดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ(สวทน.) เห็นว่า การศึกษาครั้งนี้ เป็นกระบวนการฉายภาพฉากทัศน์อนาคต (Scenario planning) รากฐานเกิดขึ้น เมื่อ 40-50 ปีที่แล้ว ที่บริษัทน้ำมันเชลล์ มองภาพอนาคตราคาน้ำมัน จนทำให้เชลล์อยู่ได้ จากการศึกษาด้วยวิธีการฉายภาพอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศึกษาตามแบบอย่างในประเทศแอฟริกาใต้ ที่ใช้กระบวนการฉายภาพฉากทัศน์อนาคต มาสร้างความสมานฉันท์จนประสบความสำเร็จ สามารถแก้ไขปัญหาการแบ่งแยกชนชั้นจากการเหยียดสีผิว ในศตวรรษที่ 20 ได้
“ประเทศไทยเวลานี้ การคิดมองภาพจากพื้นฐานการคิดจากความไม่แน่นอน เป็นการใช้ความไม่แน่นอนให้เกิดการคิดที่เป็นสัจจะ ทำให้ได้ข้อยุติที่เหมาะสมกับสภาพสังคม หรือเศรษฐกิจ สุดท้าย คือ จะได้ที่มีที่มาที่ไป มีเหตุผล และอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นให้ยอมรับกันที่ดีที่สุด”
เตรียมรับมือกับอนาคตประเทศ
นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การเรียนรู้ของสังคมไทยหลังจากนี้ ต้องเรียนรู้จากความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจริง ตั้งสติ เพื่อปูพื้นฐานของอนาคตอันนำไปซึ่งความคลี่คลายทั้งหลาย อย่างเช่นพระพุทธเจ้า กว่าจะบรรลุนิพพาน ก็ทรงได้พบกับความเจ็บปวดมาก่อน แต่สิ่งที่สำคัญ คือ ต้องมีกระบวนการสร้างอนาคตร่วมกัน จากหลายๆฝ่าย คิดอย่างจริงจัง ทำอย่างจริงจัง และสร้างทิศทางวิธีการในการคลี่คลายปัญหา
“เราต้องตรวจสอบตนเอง ตรวจสอบประเทศ ทบทวนทุกอย่างใหม่หมด เริ่มจากผู้นำประเทศที่จะเข้ามาเป็นรัฐบาล ต้องเพิ่มบทบาทการบริหารประเทศมากกว่าแค่การมีส่วนร่วมและพิจารณาเท่านั้น ขณะที่การเมืองภาคประชาชนต้องเข้มแข็ง รวมทั้งใช้เหตุการณ์ความรุนแรงเดือนเมษายน 2553 ที่เป็นวิกฤตให้เป็นโอกาสในการปฏิรูปประเทศ สร้างการขับเคลื่อนใหม่ ยึดหลัก การร่วมคิดร่วมทำ ไม่นิ่งเฉย ใครพร้อมก็เริ่มทำได้เลย ทั้งรัฐบาล เอกชน กลุ่มเฉพาะกิจ เสื้อหลากสี สื่อมวลชน ทำไปด้วยกัน อย่างสมัครใจ ประเทศก็จะก้าวหน้าต่อไปได้”
ขณะที่ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ผู้อำนวยการสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สิ่งที่เกิดในประเทศไทยเวลานี้ ไม่แตกต่างจากประเทศอื่นๆ ในโลก ประเทศก็เหมือนกับคน ที่มีทั้งความกลัวและความหวัง เป็นความสมดุล แต่เราต้องมาใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เป็นอยู่ให้มาก ดูตัวอย่างจากประเทศเพื่อนบ้าน เรื่องของสงคราม ประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น ผ่านสงครามมามากมาย
“หากประเทศไทยมีการร่วมกันวางแผนดีๆ ประเทศก็จะก้าวหน้าได้อีกไกล วันนี้เราต้องเข้าใจตัวเองมากกว่าเข้าใจสังคม ว่ากำลังทำอะไร ต้องนิ่ง สงบ และไม่คิดมากจนเกินไป ถึงจะอยู่ได้”
ดร.สุวิทย์ กล่าวด้วยว่า หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ 16 ตุลาฯ เหตุการณ์พฤษภาคม 2535 และ 10 เมษายนปีนี้ ถือเป็นบทเรียนและต้องมองโลกอย่างมีความหวังมากขึ้น มีความรับผิดชอบ และเข้าใจสังคมอย่างถ่องแท้ โดยเฉพาะเรื่องของความรุนแรง ขณะนี้ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราหวัง อาจจะถึงเวลาที่ต้องศึกษาคำว่า ศรีธนญชัย คือ เอาเรื่องของคนไทย ที่มีลักษณะดีบางอย่างออกมา และความเป็นศรีธนญชัย มักจะเห็นว่า เป็นเพียงการเอาตัวรอด แต่โดยสามัญสำนึกแล้ว คือ การทำลายอะไรหลายอย่าง ที่เราต้องศึกษาให้ลึกซึ้ง ซึ่งในบางครั้งรัฐบาลก็มักจะตอบคำถามแบบศรีธนญชัย พูดนั่น พูดนี่ที่ไม่ใช่ทางออกของปัญหา
สุดท้าย ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร ที่ปรึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กล่าวว่า หากไม่ต้องการให้เกิดความเจ็บปวด และแตกแยกขึ้นอีก คนไทยต้องมีการพูดให้มากๆ ในลักษณะเชิงวิพากษ์วิจารณ์ แสดงความคิดเห็น แล้วยอมรับความเป็นเนื้อเดียวกัน เพราะปัญหาทุกวันนี้ เกิดจากการที่คนไทยไม่ยอมรับกัน อย่างกรณีของกลุ่มเสื้อสีเหลืองและเสื้อสีแดง ซึ่งควรจะมองกลับมาว่า บนความแตกต่างนั้น ก็ต้องยอมรับกันให้ได้
เกาเหลาไม่งอก
ภาพแห่งสังคมกลียุค ที่ความขัดแย้งในขั้วความคิดทางการเมืองหยั่งรากลึกในสังคม ประกอบกับปัญหาคอร์รัปชั่นไม่มีวันหมดสิ้น และระบบพวกพ้องและระบบอุปถัมภ์เข้มแข็งขึ้น นำมาซึ่งสงครามกลางเมืองที่ลุกลามจากเมืองหลวงสู่เมืองใหญ่ในส่วนภูมิภาค ภาคท้องถิ่นอ่อนแอและขัดแย้งกับส่วนกลาง และเมื่อสังคมเสื่อมศรัทธาต่อสถาบันหลักทั้งหมดที่เคยเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ไม่มีใครฟังใครอีกต่อไป ช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนขยายกว้างขึ้น อีกทั้งสื่อมวลชนก็ถูกแทรกแซงจากนักการเมืองและนักธุรกิจการเมือง มาตรฐานการศึกษาตกต่ำ ไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน คนไร้สัญชาติและคนต่างด้าวรวมตัวกันเรียกร้องความเป็นธรรมจากระเบียบและการปฏิบัติที่ได้รับจากรัฐและสังคม
สรุปได้ เป็น 3 ประเด็นหลัก คือ 1.สังคม กลียุค ในอีก 10 ปีข้างหน้า ไม่เฉพาะ 2 ฝ่าย เรื่องการเมือง แต่เป็นทุกเรื่อง 2.คนต่างด้าว ลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิ การเข้าถึงทรัพยากร เพราะพวกเขาคิดว่า เป็นแรงสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 3.ปฏิรูปการศึกษา มีความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ถูกคุกคามจากเอกชนมากขึ้น รัฐสูญเสียอำนาจ เป็นการจัดการศึกษาเพื่อตอบสนองระบบอุตสาหกรรม
น้ำพริกปลาทู
ภาพของสังคมไทยที่เรียนรู้การอยู่ร่วมกันและเคารพความแตกต่างหลากหลายของความคิด ความเชื่อ ภาษา ศาสนา วัฒนธรรม ชาติพันธ์ และเพศสภาวะ ความขัดแย้งและการเคลื่อนไหวทางการเมืองเป็นเรื่องปกติของสังคม เศรษฐกิจเข้มแข็งขึ้นจากการผลิตที่มุ่งเพื่อการบริโภคภายในประเทศ ระบบเกษตรอินทรีย์แพร่หลายและมีองค์กรรับรอง มาตรฐานที่เชื่อถือได้ มีการนำกลไกคาร์บอนเครดิตมาใช้และกระจายไปในทุกระดับของสังคม ในส่วนของภาครัฐมีการลดบทบาทตนเอง และดำเนินนโยบายตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงอย่างจริงจัง ภาคประชาชนเข้มแข็ง ซึ่งก่อให้เกิดการประสานพลังเครือข่ายทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ด้านการกระจายอำนาจการปกครองเพื่อให้ท้องถิ่นพึ่งพาตนเองเกิดเป็นรูปธรรม มีรูปแบบของเขตปกครองพิเศษที่หลากหลายสอดคล้องกับบริบทของท้องถิ่น สื่อมวลชนทุกแขนงมีความเป็นกลางและมีบทบาทในการสร้างการเรียนรู้ให้แก่คนในชาติ ในด้านการศึกษานั้นตอบสนองต่อประชากรในทุกกลุ่มวัย ด้วยพื้นที่การเรียนรู้ไม่จำกัดอยู่เพียงสถาบันการศึกษาเท่านั้น ทำให้สังคมไทยเป็นสังคมการเรียนรู้ที่สร้างสรรค์
ต้มยำกุ้งน้ำโขง
ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศไทยกับประเทศสมาชิกอาเซียนก่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายทั้งการค้า การลงทุน แรงงาน องค์ความรู้ ภาษาและวัฒนธรรม ประเด็นสามเหลี่ยมวัฒนธรรมอินโดจีน ถูกหยิบยกขึ้นมาเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในด้านของการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวยืดหยุ่นขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงาน และการผลิตภายในประเทศมุ่งเน้นเพื่อการส่งอออก โดยมีการนำมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี หรือ non-tariff barriers มาใช้อย่างเข้มข้น และอาเซียนก็ได้เข้ามามีบทบาทเป็นตัวกลางในการเจรจาประเด็นความขัดแย้งใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ นอกจากนี้ประเทศไทยยังได้สร้างพันธมิตรทางการค้าใหม่กับกลุ่มประเทศ BRIC
การปรับตัวทางเศรษฐกิจของสหภาพพม่ามีผลสืบเนื่องมาจากแรงกดดันของประชาคมโลกและประชาคมอาเซียน ทำให้ไทยได้รับผลกระทบจากความได้เปรียบในด้านภูมิศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติของพม่า
เกิดเมืองหลวงเชิงเศรษฐกิจขึ้นในระดับภูมิภาค ด้วยนโยบายการพัฒนาพื้นที่ตามศักยภาพทางเศรษฐกิจ
ด้านการศึกษานั้น สถาบันการศึกษานานาชาติได้รับความนิยมและขยายตัวเพื่อรองรับการค้าต่างประเทศและการเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างประเทศ
