ขับเคลื่อนนาวาประเทศทุกภาคส่วนต้อง”ปฎิรูป”พร้อมกัน


ในรอบสิบปีที่ผ่านมาประเทศได้เผชิญวิกฤติความขัดแย้งมาอย่างต่อเนื่องนับ ตั้งแต่เกิดการประท้วงของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือกลุ่มคนเสื้อเหลืองเพื่อล้มล้างการเข้ามาผูกขาดทางการเมืองของพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและเจ้าของพรรคเพื่อไทยจนนำไปสู่การปฎิวัติรัฐประหารเมื่อ วันที่ 19 กันยายน 2549 และเป็นจุดกำเนิดของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ (นปช.)หรือกลุ่มคนเสื้อแดง
"วิกฤติ" ปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นไม่เพียงทำให้ประชาชนเกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกัน อย่างเดียว หากยังส่งผลกระทบไปถึงทุกภาคส่วนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตั้งแต่กระบวนการยุติธรรม ศาล องค์กรอิสระ สถาบันตำรวจและทหาร กระทั่งไปสู่โศกนาฏกรรมของประเทศเมื่อเกิดเหตุปะทะกันระหว่างกลุ่มกอง กำลังไม่ทราบฝ่าย เจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนต่อประชาชนด้วยกันเอง
จนดูเหมือนว่า การแก้ไขปัญหาเพื่อคลี่คลายวิกฤติของประเทศแทบไม่มีทางออกและ กำลังจนตรอกกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ทำให้กลุ่มบุคคลที่เป็นเสาหลักของบ้านเมืองต้องเสนอแนวทางการปฏิรูปประเทศ เพื่อนำไปสู่การปรองดองและสมานฉันท์ของประชาชนในประเทศ อย่างไรก็ตามแม้ในช่วงปลายปี 2553 รัฐบาลจะขานรับแนวทางดังกล่าวและแสดงให้เห็นท่าทีเอาจริงเอาจังด้วยการ ประกาศระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการปฏิรูป พ.ศ.2553 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา พร้อมกับการจัดตั้งคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) และมอบหมายให้นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นโต้โผในการนำเสนอแนวทางร่วมกับคณะคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป (คสป.) ที่มี ศ.นพ.ประเวศ วะสี นั่งเป็นประธานโดยตำแหน่ง
ทั้งยังมอบอำนาจหน้าที่ให้คณะกรรมการทั้งสองชุดสามารถกำหนดยุทธศาสตร์ แนวทาง มาตรการเกี่ยวกับการปฏิรูป ขณะที่คณะกรรมการอีกชุด หนึ่งทำหน้าที่เป็นกองหนุนและคอยเป็นกลไกการขับเคลื่อนสังคม หลังจากเดินสายรับฟังข้อมูล ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะของสาธารณชนเกี่ยวกับการปฏิรูปมานำเสนอรัฐบาล และเมื่อมีการเปิดโฉมหน้าบุคคลจากภาคส่วนต่างๆที่มีความรู้ความสามารถหลากหลายด้านเข้ามาวางโครงสร้างปฏิรูปประเทศด้วยแล้ว ยิ่งทำให้การปรับเปลี่ยนประเทศไทยได้กลายเป็นอีกหนึ่งความคาดหวัง
ขณะเดียวกันสังคมต่างก็รอ “วัดฝีมือ” คณะกรรมการปฏิรูปฯ ยุคแฝด 'อิน-จัน'ว่าจะทำสำเร็จหรือไม่
วาทกรรมอันคุ้นชิน “สร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ” ได้ กลายเป็นประโยคฮิตติดตลาด นับตั้งแต่คณะกรรมการทั้งสองชุดเริ่มตั้งไข่ในการทำงานเพราะวลีนี้ไม่เพียง สอดคล้อง เข้าใจง่าย และอธิบายให้เห็นรากเหง้าของสถานการณ์ความขัดแย้งทางสังคมที่เกิดขึ้นทุก หย่อมหญ้าแล้ว แถมยังสามารถอธิบายยุทธศาสตร์และกรอบการทำงานของคณะปฏิรูปได้เป็นอย่างดีว่า คณะกรรมการชุดนี้กำลังพยายามเข้าไปทำอะไร
อย่างไรก็ตามแม้ “ปฏิรูปประเทศไทย” มีการกำหนดระยะเวลาไว้แค่ 3 ปี แต่กรอบดังกล่าวถือเป็นข้อจำกัดที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการทำงานที่ทำให้คณะกรรมการฯไม่สามารถทำได้ทุกเรื่องอย่างครอบคลุม และต้องเลือกทำบางเรื่องที่สำคัญและเร่งด่วนมา “นำร่อง” ก่อน โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ ที่ต้องใช้เวลานานนับเดือนในการเดินสายอธิบายเพื่อสร้างความรู้เข้าใจให้ เพื่อให้สังคมเกิดความตระหนักในการการทำหน้าที่ของคณะกรรมการชุดนี้ว่า
“การปฏิรูปไม่ใช่การปรองดอง หรือสร้างความสมานฉันท์ แต่เป็นการทำเพื่อประชาชนเป็นหลัก”
หลังจากนั้นจึงเริ่มกำหนดโครงสร้างเพื่อวางเรื่องที่ควรจะปฏิรูปก่อนหลัง โดยขยายภาพออกมาให้เห็นว่า การทำงานนั้นมุ่งไปที่รากฐาน เน้นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เสียส่วนใหญ่
ในการทำงานของคณะกรรมการปฏิรูปนั้นได้ออกยุทธศาสตร์การปฏิรูปและกรอบการทำ งานออกมาเป็นเล่มฉบับกะทัดรัด โดยชี้แจงในสารัตถะสำคัญว่าจะมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาเพื่อให้เกิดความเป็น ธรรม 5 ด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ที่ดินและทรัพยากร โอกาสและสิทธิ และอำนาจต่อรอง พร้อมๆ การขับเคลื่อนงาน ที่เริ่มจะออกมาสู่สายตาสาธารณชน เช่น
- อนุกรรมการด้านที่ดิน ทรัพยากรและน้ำ ที่มีม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ เป็นประธาน นำคณะลงพื้นที่รับฟังปัญหาและข้อเสนอต่อการจัดการที่ดิน และการไล่รื้อที่อยู่อาศัย ทั้งในเขตชุมชนเมืองกรุงเทพฯ และพื้นที่ต่างๆ ทางภาคเหนือ โดยเฉพาะกรณีที่ชาวบ้านถูกดำเนินคดีกรณีบุกรุกที่ทำกินของตนเอง
- อนุกรรม การระบบงบประมาณ ระบบการคลังและระบบสวัสดิการ ที่มีนายชัยอนันต์ สมุทวณิช เป็นประธาน มีข้อเสนอ เพิ่มอำนาจของประชาชนด้วยระบบงบประมาณเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และมีการนำโมเดลที่จัดทำขึ้น ลงไปสอบถามความเห็นประชาชนในจังหวัดสระแก้วแล้ว
- อนุกรรม การกลุ่มการศึกษา มี ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร นั่งเป็นประธาน คิดโจทย์และจัดกลุ่มทำเรื่องปฏิรูปการศึกษา ที่ไม่ซ้ำกับคนอื่น ตามไปดูการศึกษาสำหรับเด็กที่ตกหล่นจากระบบ ทั้งเด็กพิการ เด็กยากจน เด็กห่างไกล เด็กที่อพยพตามพ่อแม่ที่เป็นแรงงานจะเป็นเกษตรกร หรือกรรมกรก่อสร้าง และลูกหลานของแรงงานต่างด้าว ซึ่งเป็นเด็กที่ถูกปฏิเสธออกจากระบบทั้งหมด
- อนุกรรมการปฏิรูประบบเกษตรกรรม ที่มีนายสมชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน เน้นเรื่องของการพัฒนาสถานภาพของเกษตรกร อยู่ในขั้นตอนการกำหนดยุทศาสตร์ แนวทาง หรือมีมาตรการอย่างไรให้เกษตรกรไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ให้เกษตรกรมีโอกาสได้ลืมตาอ้าปากได้
ฯลฯ
กระนั้นก็ตาม หากจะประเมินผลงานคณะกรรมการปฏิรูปซึ่งมี ดร.เดชรัต สุขกำเนิด เป็นเลขานุการคณะกรรมการปฏิรูปก็ยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจน เพราะจนถึงวันนี้การทำงานของคณะกรรมการก็ยังอยู่ในช่วงจุดเริ่มต้น ดังนั้นจึงต้องอดใจรอดูเรื่องของการให้ข้อเสนอออกไปก่อน ถึงจะประเมินได้ว่าการทำงานของคณะกรรมการปฏิรูป เดินมาถูกทิศถูกทางหรือไม่
“อยากจะดูว่าข้อมูลจากการเดินสายรับฟังความเห็นจากประชาชนที่เราสรุปออกมาและได้ นำเสนอออกไปนั้น มีเสียงตอบรับ เห็นต่างเห็นแย้งอย่างไรบ้าง ซึ่งตรงนั้นจะทำให้เห็นภาพความสำเร็จในการทำงานมากขึ้น”
ส่วน ประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด ที่ ดร.เดชรัต บอกว่า ปัจจุบันประชาชนยังไม่เข้าใจเรื่องปฏิรูปกับการปรองดอง อีกเรื่องคือการทำงานของคณะกรรมการฯที่หลายคนระบุว่า “ช้าเกินไป” และอยากให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วกว่านี้
“ผมอยากให้เข้าใจว่าปฏิรูปเป็นเรื่องของ “โครงสร้าง” ไม่ใช่เรื่องของ “โครงการ” ถ้า เป็นเรื่องของโครงการ เราก็อาจจะมีงบประมาณจำนวนหนึ่ง คิดโครงการออกมา ซึ่งทำได้เร็วกว่า แต่โครงสร้าง หมายถึงอาจต้องไปกระทบกับบางหน่วยงาน บางองค์กรบางกลุ่ม ซึ่งแน่นอนจะต้องใช้เวลาในการพูดคุย ในการหารือมากขึ้น”
ขณะที่ชุดคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปซึ่งมีภาระหน้าที่ส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกภาค ส่วนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศเองก็ได้แยกย่อยตั้ง คณะกรรมการศึกษาเฉพาะประเด็นสำคัญๆออกมาถึง 14 คณะ ทั้งองค์กรปกครองท้องถิ่นเพื่อการปฏิรูป,องค์กรชุมชนเพื่อการปฏิรูป,ประชาชนจังหวัดเพื่อการปฏิรูป,ผู้ใช้แรงงานเพื่อการปฏิรูป,พลังสตรีเพื่อการปฏิรูป,พลังเยาวชนเพื่อการปฏิรูป,เครือข่ายผู้พิการเพื่อการปฏิรูป,ผู้เสียโอกาส คนจนเมือง และกลุ่มชาติพันธุ์เพื่อการปฏิรูป,เครือข่ายธุรกิจเพื่อการปฏิรูป,เครือข่ายอุดมศึกษาเพื่อการปฏิรูป,ศิลปินเพื่อการปฏิรูป,การจัดสรรทรัพยากรเพื่อความเป็นธรรม,ความยุติธรรมกับการปฏิรูป และการสื่อสารเพื่อการปฏิรูป
ทั้งนี้เมื่อกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา นพ.ประเวศ ได้ส่ง (ร่าง) ข้อเสนอปฏิรูปประเทศไทย 9 ข้อต่อรัฐบาล ประกอบด้วย 1.ให้สื่อมวลชนของรัฐทำการสื่อสารเพื่อการปฏิรูป 2.สนับสนุนการรวมตัว ร่วมคิด ร่วมทำในทุกพื้นที่ ในทุกองค์กร และในทุกเรื่อง 3.ให้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปรับทิศทางใหม่ของ ประเทศ โดยมีเป้าหมายและดรรชนีพัฒนาใหม่ ที่ถือการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลและการมีสัมมาชีพอย่างเต็มพื้นที่เป็นตัว ตั้ง 4.ให้ส่วนราชการปรับบทบาทจากการเอากรมเป็นตัว ตั้ง เป็นเอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง และเมื่อมีความพร้อมให้ออกกฎหมายการบริหารประเทศโดยปลดล็อกอำนาจของกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ เพื่อให้ชุมชนท้องถิ่นจัดการตัวเองให้มากที่สุด 5.ให้มหาวิทยาลัยของรัฐสนับสนุนความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น และการพัฒนาอย่างบูรณการในจังหวัด อย่างน้อย 1 มหาวิทยาลัยต่อหนึ่งจังหวัด
6.ให้กระทรวงยุติธรรมปฏิรูประบบความยุติธรรม โดยยกร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ดำเนินการศูนย์ยุติธรรมชุมชน เสนอปฏิรูปกฎหมายเพื่อคนจน และจัดตั้งกลไกในการวิจัยและพัฒนาระบบความยุติธรรมทั้งหมด 7.ให้ กระทรวงศึกษาธิการปรับโครงสร้างการศึกษาเพื่อความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น เพื่อสร้างสัมมาอาชีวะเต็มพื้นที่ และเพื่อความเข็มแข็งทางวิชาการ 8.ให้ กระทรวงการคลังเสนอการปฏิรูประบบภาษี เพื่อความเป็นธรรมและปฏิรูประบบสวัสดิการสังคม และปฏิรูปการเงินการคลัง เพื่อสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ 9.ให้ หน่วยงานของรัฐรับข้อเสนอทางนโยบายจากที่ประชุมสมัชชาปฏิรูปไปปฏิบัติและ ร่วมมือกับสมัชชาปฏิรูปในการติดตามการปฏิบัติ และสร้างกลไกในความร่วมมือทางนโยบายระหว่างประชา-รัฐ
สำหรับผลงานในช่วง 5 – 6 เดือนที่ผ่านมา ที่เห็นชัดว่า มีเครือข่ายต่างๆ ที่อยากปฏิรูปได้มีโอกาสก้าวเข้ามาใกล้กันชิดกันมากขึ้น ขยับเข้ามาคุยกันมากขึ้น มาแลกเปลี่ยนมุมมองกันมากขึ้น จนเรียกได้ว่า ไม่มีใครผูกขาดการปฏิรูป เปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนมีสิทธิคิดปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ประเทศไทย
และหากให้ประมวลประเด็น กับข้อเสนอที่เด่นชัดที่สุด นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ ในฐานะประธานคณะทำงานเครือข่ายวิชาการเพื่อการปฏิรูป บอกว่าจะเน้นให้ความสำคัญเรื่อง”ความขัดแย้งในปัญหาที่ดินทำกินและทรัพยากร ธรรมชาติ ” เพราะเป็นประเด็นที่กรรมการสมัชชาปฏิรูปกับกรรมการปฏิรูปตัดสินใจเกาะติดปัญหา แล้วก็ลงไปดู จนทำให้ได้ข้อสรุปที่นำไปสู่ข้อเสนอแนะเบื้องต้นแล้ว
“เรื่อง ที่ดิน กับเรื่องความเดือดร้อนจากปัญหาที่ดินทรัพยากร เป็นประเด็นที่ทีมปฏิรูปทำได้ดีพอสมควร ขณะนี้มีความชัดเจนไปถึงขั้นที่จะมีข้อเสนอ ว่า เราควรจะจัดการเรื่องที่ดินและทรัพยากรอย่างไร” นพ.สม ศักดิ์ บอกเราในวันส่งท้าย ก่อนก้าวเข้าสู่ปีเถาะ และว่า ภายใต้ความพยายามที่จะไปแก้ปัญหาระยะยาว ไปแก้กฎหมาย แก้กติกา เราได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่า ต้องหาทางใช้กลไกที่มีอยู่ช่วยประชาชน แล้วนำไปสู่การสร้างกลไกเพื่อช่วยคนเดือดร้อน เช่น กลไกเรื่องยุติธรรมจังหวัด ความพยายามที่จะปฏิรูปในเรื่องกระบวนการยุติธรรม ชัดเจนมากว่ากระทรวงยุติธรรมเข้ามาแสดงบทบาทชัดในเรื่องนี้โดยไปเชื่อมโยง กับฝ่ายต่างๆ
นพ.สม ศักดิ์ กล่าวว่า เมื่อทำงานผ่านไปได้สักระยะ ได้เห็นภาพ ความคึกคัก เครือข่ายต่างๆ เข้มแข็ง ชาวบ้านเริ่มเข้มแข็งมากขึ้น ท้องถิ่นมีการกระจายอำนาจ ท้องถิ่นเข้ามาทำงานร่วมกับชาวบ้าน งบประมาณที่ลงมาที่ชาวบ้านก็นำมาใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น เห็นโอกาสมากขึ้น
“เหมือน ลูกค่อยๆ เก่งขึ้นเรื่อยๆ เข้ามหาวิทยาลัยได้หรือเปล่าไปไม่รู้ แต่ก็คงเติบโตเป็นคนดีของสังคม มีการงานที่มั่นคง ทำประโยชน์ต่อส่วนรวม”
สำหรับ การให้คะแนนคณะอนุกรรมการทั้ง 14 ประเด็น ของคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป นพ.สมศักดิ์แจงว่าให้คะแนนเต็มหมด ทุกชุดที่ตั้งขึ้นมา เพราะไม่มีงบประมาณ แต่มีความคึกคักเคลื่อนไหวกันมากมาย ทุกคนมีใจเต็มร้อย มีความอยากชัดเจน มีความตื่นตัวในการปฏิรูปเพื่อให้เมืองไทยดีขึ้น
วิกฤติ ปัญหาของประเทศไทยที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน หากจะนำแนวทางการปฎิรูปมาคลี่คลายความทับซ้อน ไม่ใช่เรื่องง่ายที่สามารถจะทำให้จบสิ้นภายใน 2-3 ปี นี้แต่จำต้องใช้เวลาและความอดทน
สำคัญที่สุด คือการได้รับความร่วมมือจากประชาชนและทุกภาคส่วนขององค์กรเพื่อช่วยกันขับ เคลื่อนและนำนาวาประเทศไปสู่จุดเปลี่ยนอย่างพร้อมเพรียงกัน...
