สปส.เพิ่ม 4 สิทธิประโยชน์เท่าบัตรทอง กลยุทธ์ลดกระแส – เบี่ยงประเด็น ?
ย่างก้าวของสถานการณ์รุดหน้าไปไกลเกินกว่าที่ใครหลายคนประเมินไว้ ห้วงเวลาร่วมเดือนเศษสามารถแปรเปลี่ยนความเคลือบแคลงใจให้เป็นพัฒนาการของ ระบบครั้งใหญ่ คำตัดพ้อต่อความไม่เป็นธรรม “เหตุใดผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม 9.4 ล้านคน จึงเป็นคนกลุ่มเดียวที่ต้องจ่ายเงินสำหรับรักษาพยาบาลตัวเอง” คือจุดกำเนิดของการยกระดับมาตรฐานหลักประกันสุขภาพ
ชื่อของนักวิชาการเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข นพ.พงศธร พอกเพิ่มดี เป็นที่รับรู้ในวงกว้างจากบทบาท “ผู้จุดประเด็น” ความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในระบบหลักประกันสุขภาพ หลากหลายข้อมูล ข้อเสนอ ข้อเรียกร้อง และแนวทางการเคลื่อนไหว เร้าให้สังคมโดยเฉพาะผู้ประกันตนเริ่มตระหนักถึง “ค่าโง่” ที่สูญเสียไป
ต่อประเด็นการรักษาพยาบาลที่เหลื่อมล้ำ นพ.พงศธร จุดพลุด้วยการ “เทียบสิทธิ์โรคต่อโรค” ยังผลให้สังคมจับต้องความเหลื่อมล้ำได้อย่างเป็นรูปธรรม และเป็นที่มาของการขับเคลื่อนหลากหลายองคาพยพ
ชมรมพิทักษ์สิทธิผู้ประกันตน โดย นายนิมิตร์ เทียนอุดม เลขาธิการชมรมฯ และ น.ส.สารี อ๋องสมหวัง โฆษกชมรมฯ สบช่องจากกระแสสังคมปลุกผู้ประกันตนให้ลุกขึ้นมาทวงถามสิทธิอันชอบธรรม
“เมื่อใดที่ผู้ประกันตน 9.4 ล้านคน ลุกขึ้นมาต่อสู้กับระบบไม่เป็นธรรม ผู้ที่เกี่ยวข้องไม่มีสิทธิที่จะบ่ายเบี่ยงหรือหลีกเลี่ยงที่จะแก้ไข” คือหลักการตามแนวความคิดของการต่อสู้
เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ นายอภิวัฒน์ กวางแก้ว ประธานเครือข่ายฯ เรียกร้องให้ภาครัฐแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในระบบหลักประกันสุขภาพด้วยการปรับปรุงให้ประชาชนมี “สิทธิประโยชน์ชุดเดียวกัน” ทั้งประเทศ โดยเฉพาะผู้ประกันตนที่เข้าถึงยาต้านไวรัสได้อยากกว่าผู้ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง)
สภาองค์การนายจ้าง 7 แห่ง นำโดย นายประสิทธิ์ จงอัศญากุล ประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ค้าและบริการเครื่องอุปโภคบริโภค เข้าพบ นายเฉลิมศักดิ์ จันทรทิม เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน หวังใช้ช่องทางนี้เพื่อให้พิจารณาพ.ร.บ.ประกันสังคม ที่หลักการขัดต่อรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 30 ประเด็นการเลือกปฏิบัติในเรื่องสุขภาพจะกระทำมิได้
"เราอยากให้รัฐดูว่ากฎหมายประกันสังคมขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะคนอื่นรักษาฟรีแต่ผู้ประกันตนต้องจ่ายสมทบ" คือความสงสัยของสภาองค์การนายจ้างทั้ง 7 แห่ง ขณะที่นายประสิทธิ์ ยืนยันว่า จะเข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) ด้วย เพราะประเด็นนี้เป็นเรื่องของสิทธิความเท่าเทียมของคน 9.4 ล้านคน
แรงกระเพื่อมระลอกใหญ่ครั้งนี้ โถมเข้าใส่สำนักงานประกันสังคม (สปส.) อย่างจัง นพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการประกันสังคม (ประธานบอร์ดสปส.) สั่งการให้ตั้งคณะกรรมการเปรียบเทียบสิทธิประโยชน์ระหว่างประกันสังคมกับบัตรทองขึ้น เสมือนหนึ่งประกอบสร้างให้เห็นว่า สปส.เริ่มขยับปรับตัวตามคำร้องขอ
อย่างไรก็ตาม ท่วงท่าของสปส.ใน นาทีนี้กลับไม่สามารถลดกระแสหรือทำให้กลุ่มผู้ประกันตนลดระดับการเคลื่อนไหว ลงได้ เห็นได้ชัดจากพลันที่มีการตั้งคณะกรรมการฯ ชุดนี้เพียงไม่กี่วัน คณะกรรมาธิการ (กมธ.) สาธารณสุข กลับนำข้อร้องเรียนจากผู้ประกันตนเข้าสู่การพิจารณาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม สส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ และกมธ.สาธารณสุข อธิบายต่อสังคมถึงกิจครั้งนี้ว่า ได้รับการร้องเรียนเรื่องความเหลื่อมล้ำระหว่างสิทธิประกันสังคมกับบัตรทอง เป็นจำนวนมาก สอดรับด้วยกระแสจากสื่อมวลชนในขณะนี้ จึงได้เชิญตัวแทนของสปส.และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เข้าชี้แจงข้อมูล
กมธ.รายนี้ เล่าถึงการประชุมว่า ที่ประชุมได้เปรียบเทียบสิทธิประโยชน์ระหว่าง 2 สิทธิ และรับทราบว่ามีความแตกต่างกันจริง เพราะมีหลายรายการที่ประกันสังคมได้น้อยกว่าบัตรทอง ที่ประชุมจึงพยายามพูดคุยกับตัวแทนสปส.พร้อมทั้งชี้ให้เห็นว่าคนไข้ประกัน สังคมต้องเสียเบี้ยสมทบ จึงควรได้สิทธิเหนือกว่าหรืออย่างน้อยต้องเทียบเท่ากับบัตรทอง
นพ.ประสิทธิ์ ชัยวิรัตนะ สส.ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย กมธ.สาธารณสุขอีกราย บอกว่า ตัวแทนจากสปส.รับปากกับกมธ.ว่าจะปรับปรุงสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกันตนครั้งใหญ่ โดยขั้นต่ำจะต้องเทียบเท่าหรือไม่น้อยไปกว่าสปสช.ให้กับผู้ใช้สิทธิ์บัตรทอง โดยวันที่ 2 มี.ค.คณะกรรมการการแพทย์ สปส.จะประชุมกันเพื่อพิจารณาเพิ่มสิทธิประโยชน์เหล่านี้ ก่อนจะส่งเรื่องต่อให้บอร์ดสปส.อนุมัติ และบังคับใช้ได้ทันที
ด้าน นพ.สุรเดช วลีอิทธิกุล ผู้อำนวยการสำนักจัดระบบบริการทางการแพทย์ ในฐานะตัวแทนของสปส. ยืนยันว่า คณะกรรมการการแพทย์พร้อมปรับปรุงสิทธิประโยชน์บางรายการที่เห็นว่าสามารถ ดำเนินการได้ทันที
ทว่า ก่อนถึงกำหนดประชุมเพียง 2 วัน เครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ ได้เร่งอุณหภูมิให้ร้อนรุ่มขึ้นอีกครั้ง โดยประกาศกร้าวจะนำม็อบกว่า 500 คน เข้ากดดันที่ประชุมคณะกรรมการการแพทย์ และหากในวันดังกล่าวไม่มีผลการประชุมออกมาเป็นที่ประจักษ์ จะระดมสมาชิกเครือข่ายฯ ทั่วประเทศ บุกสปส.ทันที
ระหว่างนั้น มีรายงานข่าวจากแหล่งข่าวระดับสูงของสปส. ว่าคณะกรรมการการแพทย์เตรียมพิจารณาเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ประกันตน 4 ประเด็นใหญ่ ได้แก่ 1.เงื่อนไขการรับสิทธิบริการทางการแพทย์ เดิมมีข้อกำหนดว่าถ้าเป็นโรคที่ต้องรักษาต้องเนื่องสามารถรักษาได้ไม่เกิน 180 วัน/ปี จะปรับเป็นไม่จำกัดจำนวนวัน
2.กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินและไม่สามารถไปรับบริการในโรงพยาบาลที่ลงทะเบียนไว้ได้ เดิมประกันสังคมจำกัดจำนวนไม่เกิน 2 ครั้ง/ปี โดยต้องสำรองเงินจ่ายล่วงหน้าไปก่อนแล้วนำมาเบิกคืนในภายหลัง จะพิจารณาปรับเพิ่มให้ดีขึ้นแต่ยังไม่สรุปว่าจะให้เทียบเท่าบัตรทองซึ่งไม่จำกัดจำนวนครั้งและไม่ต้องสำรองจ่ายไปก่อนได้หรือไม่
3.สิทธิด้านทันตกรรม กรณีถอนฟัน อุดฟัน และขูดหินปูน ซึ่งแม้ประกันสังคมจะปรับเพิ่มสิทธิเป็นใช้สิทธิได้ไม่เกิน 300 บาท/ครั้ง ปีละไม่เกิน 600 บาท แต่โดยรวมสิทธิยังไม่เทียบเท่าบัตรทองซึ่งใช้สิทธิไม่จำกัดจำนวนครั้ง และ 4.สิทธิของผู้ทุพพลภาพ ซึ่งจะมีการพิจารณาปรับเพิ่มรายการกายอุปกรณ์และเครื่องช่วยเหลือสำหรับผู้ ทุพพลภาพ เช่น อวัยวะเทียมและรถวีลแชร์ รวมทั้งปรับเพิ่มเรื่องกายอุปกรณ์เพื่อการรักษาหรืออุปกรณ์ที่ต้องผ่าตัดใส่ ไว้ในร่างกาย อาทิ ลิ้นหัวใจเทียมชนิดต่างๆ
"นอกจากนี้ยังมีอีก 2-3 เรื่อง ที่ประกันสังคมให้สิทธิเช่นเดียวกับบัตรทองแต่มีระบบการจัดการต่างกันออกไป เช่น การเข้าถึงยาราคาแพง กรรมการการแพทย์จะพิจารณาประเด็นเหล่านี้ด้วยแต่คาดว่าจะยังไม่มีข้อสรุปในการประชุมเพียงนัดเดียว" แหล่งข่าวระดับสูงให้ข้อมูล
ครั้นถึงวันประชุมจริง เครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ เดินทางไปยังสปส.เพียง 50 คน ขณะที่คณะกรรมการการแพทย์สั่งยกเลิกการประชุมกระทันหัน
นพ.วิชัย โชควิวัฒน์ คณะกรรมการการแพทย์ บอกว่า ช่วงเช้าของวันที่ 2 มี.ค.ยังมีการแจ้งกำหนดการณ์การประชุม แต่เมื่อเข้าเที่ยงวันกลับมีโทรศัพท์แจ้งยกเลิกการประชุม ทั้งนี้จะนัดประชุมในวันที่ 16 มี.ค.อีกครั้ง
เหนือสิ่งอื่นใด เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าคณะกรรมการการแพทย์ตั้งใจที่จะเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ประกันตน 9.4 ล้านคนจริง และปฏิเสธไม่ได้ว่ากรรมดีครั้งนี้มีผลพวงมาจากกระแสสังคมกดดันผ่านการนำเสนอของสื่อมวลชน และการประสานความร่วมมือของผู้ประกันตนทั่วทุกหัวระแหง
แต่การ “เดินหมาก” ของสปส.ครั้งนี้ ชวนให้คิดได้ว่าอาจทำไปเพราะต้องการ “ลดกระแส” และแสดงให้เห็นว่าสปส.พยายามดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและยึดเอาประโยชน์ของผู้ประกันตนเป็นหลัก
การเพิ่มสิทธิประโยชน์ 4 ประการด้วยกรอบระยะเวลา 1 เดือนเป็นเรื่องดีและน่าชื่นชม เพราะคนกว่า 9.4 ล้านคนทั่วประเทศคือผู้ได้อานิสงส์ แต่โจทย์ใหญ่ที่สุดที่สปส.จำเป็นต้องตอบให้ได้คือ “เหตุใดผู้ประกันตนจึงเป็นคนกลุ่มเดียวที่ต้องจ่ายเงินเพื่อการรักษาพยาบาล”
สิทธิประโยชน์ 4 ประการเป็นเพียงบันไดก้าวแรกของการลดความเหลื่อมล้ำ แต่หากพิเคราะห์ในภาพกว้างแล้ว “ช่องว่าง” ที่เกิดขึ้นยังคงถ่างกว้างเหมือนเก่า
ผู้ประกันตนจึงยังไม่ควรลำพองใจ หรือกระหยิมยิ้มย่องเพียงเพราะหลงประเด็น