สารพันปัญหา“การศึกษาไทย” งานช้าง..รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ทราบผลการเลือกตั้งกันไปเรียบร้อยโรงเรียนพรรคเพื่อไทยแล้ว เพราะสามารถกวาดที่นั่งทั้งในส่วนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ระบบเขต และระบบบัญชีรายชื่อ หรือปาร์ตี้ลิสต์ ไปได้ 265 ที่นั่ง ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ได้ไปเพียง 159 ที่นั่ง
ส่งผลให้พรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำการจัดตั้งรัฐบาลอย่างแน่นอน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 28 ของประเทศไทย จะเป็น “นายกรัฐมนตรีหญิง” คนแรก
แต่ฝันนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ ก็คงต้องรอการพิจารณาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
(กกต.) เพราะ กกต.ประกาศรับรอง ส.ส.ในรอบแรกไปเพียง 358 คน ยังเหลืออีก 242 คน ที่ยังไม่ได้รับการรับรอง
ในจำนวนนี้รวมไปถึง “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ลำดับ 1 ของพรรคเพื่อไทย ว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก และ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ลำดับ 1 ของพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากถูกร้องเรียนทั้งคู่
อย่างไรก็ตาม แม้ กกต.จะยังประกาศรับรองว่าที่ ส.ส.ไม่ครบทั้ง 500 คน แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการฟอร์มทีมจัดตั้งรัฐบาล 5 พรรค ได้แก่ พรรคเพื่อไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน พรรคพลังชล และพรรคมหาชน 299 เสียง
โดยเฉพาะการวางตัว “รัฐมนตรี” ในกระทรวงต่างๆ ที่มีกระแสข่าวตั้งแต่ยังไม่รู้ผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ โดยผู้จัดการรัฐบาลตัวจริงเสียงจริง “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี และพี่ชายของว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ซึ่งแม้เจ้าตัวจะออกมาปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้อง แต่ดูเหมือน ส.ส.กลุ่มต่างๆ ต่างมุ่งตรงไปยังประเทศที่มีข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณไปพำนักอยู่ ไม่ว่าจะเป็น บรูไน ดารุสซาราม, ดูไบ สหรัฐอาหรัลเอมิเรตส์ หรือแม้แต่ฮ่องกง เพื่อต่อรองขอ “เก้าอี้” รัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ
เก้าอี้ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)” ก็เป็นอีกกระทรวงหนึ่งที่ถูกจับตาอย่างใกล้ชิด แม้จะไม่ร้อนแรงเท่ากับกระทรวงด้านเศรษฐกิจ อย่างกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นต้น หรือกระทรวงด้านความมั่นคงอย่าง กระทรวงกลาโหม และกระทรวงมหาดไทย
แต่ก็เป็นกระทรวงที่ถูก “คาดหวัง” ไว้อย่างสูง ว่าผู้ที่จะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการ ศธ.ต้องเป็นคนเก่ง มีความรู้ความสามารถ มีความชัดเจนเรื่องนโยบาย และสามารถขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สองให้ประสบความสำเร็จได้
ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ก็มีรายชื่อของหลายๆ คน ที่โผล่อยู่ในโผเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ไม่ว่าจะเป็น “นายสุชล ชาลีเครือ” เคยรับราชการครู ซึ่งอดีตแกนนำครูภาคอีสานในการชุมนุมเรียกร้องสิทธิต่างๆ มีความสนิทสมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ
“นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล” ส.ส.แพร่ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งครั้งนี้มีชื่อโผล่อยู่ในโผรัฐมนตรีว่าการ ศธ.ด้วย ก่อนที่จะมีชื่อกลับไปนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเหมือนเดิม
รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย อย่าง “นายคณวัฒน์ วศินสังวร” ก็มีชื่ออยู่ในโผด้วย โดยนายคณวัฒน์เคยเป็นประธานอนุกรรมการจัดเตรียมข้อมูลศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และอดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีหลายกระทรวง
หรืออีกชื่อที่ค่อนข้างมาแรงอย่าง “นายภาวิช ทองโรจน์” อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม อธิการบดีมหาวิทยาลัยนครพนม อธิการบดีมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ รักษาการอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เคยได้รับเลือกให้เป็นประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ถึง 2 สมัย เป็นนายกสภาเภสัชกรรม ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานคณะกรรมการการอุดมศึกษา นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏกาฬสินธุ์ นายกสภามหาวิทยาลัยนครพนม ฯลฯ
ที่สำคัญ เป็นผู้ยกร่างนโยบายการศึกษาที่พรรคเพื่อไทยใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้
ซึ่งนายภาวิชระบุว่า ยังไม่ทราบเรื่องที่มีรายชื่ออยู่ในโผที่จะได้เป็นรัฐมนตรีว่าการ ศธ.เพราะเป็นเรื่องของพรรค และยังไม่มีใครทาบทาม แต่ที่ผ่านมาก็มีหน้าที่ช่วยดูแล และยกร่างนโยบายด้านการศึกษาของพรรคเพื่อไทย ซึ่งถือเป็นโอกาสดีที่พรรคเพื่อไทยจะได้เข้าไปทำงานด้านการศึกษา เพราะเป็นห่วงเรื่องการศึกษาของไทยมาก
อย่างไรก็ตาม ลองมาดู “คุณสมบัติ” ของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ ศธ.ที่ครูบาอาจารย์ นักการศึกษา นักวิชาการ และเครือข่ายภาคประชาชน อยากเห็นก็คือ ต้องเคยผ่านงานด้านการศึกษามาก่อน มีความสามารถด้านการบริหารจัดการ เพราะเมื่อเข้ามาบริหารงาน จะได้เรียนรู้นโยบายการศึกษา และทำงานได้ทันที ต้องเข้าใจวิธีการทำงานของ ศธ. เข้าใจอาชีพครู เข้าใจระบบการศึกษาไทยอย่างถ่องแท้ เนื่องจากการศึกษาไทยมีหลากหลายรูปแบบ หลากหลายประเภท ต้องสนใจเรื่องคุณภาพการศึกษา และเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ในการจัดการศึกษา
ซึ่งนักการศึกษาฝีปากกล้าอย่าง “นายสมพงษ์ จิตระดับ” อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า คุณสมบัติที่สำคัญของรัฐมนตรีว่าการ ศธ.คือ ต้องเข้าใจองค์รวม และความซับซ้อนของปัญหาการศึกษาทั้งระบบ เพราะบางคนรู้เฉพาะเรื่องครู บางคนรู้เฉพาะอุดมศึกษา ต้องเข้าใจหลักสูตร และกระบวนการเรียนรู้ ให้ความสำคัญเรื่องการเรียนการสอนของครูเป็นหลัก ต้องเข้าใจเรื่องเทคโนโลยี และไอที ที่จะช่วยให้การเรียนการสอนเป็นปัจจุบัน และทันสมัย ที่สำคัญ ต้องเข้าใจปัญหาสำคัญๆ ไม่ว่าจะเป็นการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษา ปัญหาธุรกิจการศึกษา การซื้อขายปริญญาบัตร เป็นต้น
พร้อมทั้งฝากไปยังรัฐบาลพรรคเพื่อไทยว่า “ต้องใส่ใจหาผู้ที่คนในแวดวงการศึกษามองแล้วมีความหวัง ไม่ใช่เอาคนที่ขาดคุณสมบัติ และไม่มีความรู้ด้านการศึกษามาเป็นรัฐมนตรีว่าการ ศธ.หรือเป็นโควตานักการเมือง หรือคนที่ใครๆ เห็นแล้วก็ร้องยี้”
ขณะที่ ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) “นายประสาท สืบค้า” ที่มองว่า รัฐมนตรีว่าการ ศธ.อาจไม่จำเป็นต้องเป็นนักการศึกษาก็ได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่รอบรู้การศึกษาทั้งระบบ ตั้งแต่ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานถึงระดับอุดมศึกษา ต้องรู้จุดอ่อนจุดแข็ง มีวิสัยทัศน์ กล้าตัดสินใจ ซึ่งเรื่องหลังสำคัญมาก เพราะหากรัฐมนตรีไม่กล้าตัดสินใจ อย่างกรณีการซื้อขายปริญญาบัตร ถ้ารัฐมนตรีไม่มีความกล้าที่จะตัดสินใจแก้ปัญหา ก็จะส่งผลกระทบต่อคุณภาพการศึกษาอย่างร้ายแรง ขณะเดียวกันต้องเป็นคนที่มีความเป็นสากล และความเป็นไทยในตัว
คราวนี้ลองมาดูกันว่า งานด้านการศึกษาที่กำลังรอให้รัฐมนตรีว่าการ ศธ.คนใหม่เข้ามาสะสางปัญหา สานต่อ และขับเคลื่อนงานสำคัญๆ ให้เดินไปข้างหน้านั้น จะมีอะไรกันบ้าง
ซึ่งเรื่องที่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในขณะนี้ เห็นจะหนีไม่พ้นปัญหาเรื่อง “คุณภาพ” เพราะแม้จะมีการปฏิรูปการศึกษามานานกว่า 1 ทศวรรษ จนกระทั่งเข้าสู่ทศวรรษที่ 2 ของการปฏิรูปการศึกษา ปัญหาคุณภาพก็ยังคงมีให้เห็นในทุกหัวระแหง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคุณภาพของเด็กไทยในระดับ “การศึกษาขั้นพื้นฐาน” ที่เห็นได้จากผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาที่ยังคงต่ำลงอย่างสม่ำเสมอ ผลการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต) ที่ค่าเฉลี่ยของคะแนนก็ยังต่ำกว่าครึ่ง ซึ่งก็เป็นผลมาจากระบบการเรียนการสอนของไทยในปัจจุบัน ที่ยังไม่สามารถทำให้เด็กไทย คิดเป็นวิเคราะห์เป็น และสังเคราะห์เป็น
ปัญหาเกี่ยวกับ “คุณภาพ” ของ “แม่พิมพ์” ที่แม้ว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ จะพยายามปฏิรูปคุณภาพครูทั้งระบบกว่า 4 แสนคน แต่ดูเหมือนยังไปไม่ถึงไหน ยิ่งมาเจอกรณีการซื้อขายใบประกาศนียบัตรบัณฑิต (ป.บัณฑิต) วิชาชีพครู ของมหาวิทยาลัยอีสาน หรือการเปิดสอนหลักสูตร ป.บัณฑิต วิชาชีพครู จนเกร่อของมหาวิทยาลัยต่างๆ โดยมุ่งแต่ปริมาณ ไม่เน้นคุณภาพ ยิ่งทำให้อนาคตของแม่พิมพ์ไทย และเด็กไทย มืดมนลงไปอีก ซึ่งเรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญอย่างยิ่งที่รัฐบาลใหม่ และรัฐมนตรีว่าการ ศธ.คนใหม่ จะต้องรีบสะสางโดยด่วน
การแก้ไขกฎหมายหลายฉบับ อย่างร่างแก้ไข พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ... ก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ นอกจากนี้ ต้องเร่งแก้ปัญหาขาดแคลนครู ปัญหาหนี้สินครู เป็นต้น
ส่วนปัญหาในระดับ “อุดมศึกษา” ก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ซ้ำร้ายจะรุนแรงมากกว่าในหลายๆ เรื่อง อาทิ คุณภาพบัณฑิต ที่ยังมีคุณลักษณะที่ไม่เป็นที่พึงประสงค์ของผู้ใช้บัณฑิต ซึ่งเป็นปัญหาที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไข เพื่อให้บัณฑิตไทยมีคุณภาพ และศักยภาพในทุกๆ ด้าน รวมถึง ด้านภาษาต่างประเทศ และเทคโนโลยี เพื่อรองรับการเปิดเสรีด้านการค้า ด้านการศึกษา ด้านแรงงาน และเพื่อรองรับการก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 เพราะหากบัณฑิตที่จบจากมหาวิทยาลัยไทย ไม่มีคุณภาพมาตรฐานเพียงพอแล้ว จะไม่สามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้เลย
ปัญหา “การซื้อขายวุฒิการศึกษา” ซึ่งสร้างสั่นสะเทือนความเชื่อมั่นให้คนในแวดวงอุดมศึกษาไทยอย่างรุนแรง โดยเฉพาะปัญหาการซื้อขายใบ ป.บัณฑิต วิชาชีพครู ของมหาวิทยาลัยอีสาน ที่จนถึงทุกวันนี้ ผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงอย่าง “สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา” และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ก็ยังไม่สามารถจัดการแก้ปัญหาได้ ซ้ำร้าย “ผู้บริหาร”, “กรรมการ” และเจ้าหน้าที่คุรุสภาบางราย กลับเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเปิด “ศูนย์การศึกษานอกที่ตั้งเถื่อน” เสียเอง โดยหลอกนักศึกษาเข้าเรียน เพื่อหารายได้เข้ากระเป๋าตัวเอง ทั้งที่หลักฐานค่อนข้างชัดเจน แต่จนถึงบัดนี้ ก็ยังไม่มีการจัดการอะไรใดๆ ทั้งสิ้น
ซึ่งเรื่องนี้ คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้ากระทรวงคนใหม่ ที่จะต้องเข้ามาพิสูจน์ฝีไม้ลายมือให้เป็นที่ประจักษ์ เพราะกระทบต่อความเชื่อมั่นในวงการอุดมศึกษาไทยอย่างมหาศาล และอาจถึงเวลาแล้วที่จะต้อง “ปฏิวัติ” วงการอุดมศึกษาไทยครั้งใหญ่เลยทีเดียว เพื่อเรียกความเชื่อมั่น และศรัทธาคืนมาให้ได้
“ระบบการคัดเลือกบุคคลเพื่อเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษา” ก็เป็นประเด็นใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ไข เพราะแม้ปัจจุบันจะใช้ระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษา หรือระบบแอดมิสชั่นส์ ในการคัดเลือกนิสิตนักศึกษา แต่ดูเหมือนระบบดังกล่าวยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่สามารถคัดเลือกนิสิตนักศึกษาให้ตรงกับที่สาขาวิชาที่มหาวิทยาลัยต่างๆ ต้องการได้ ส่งผลให้มหาวิทยาลัยต่างๆ หันไปคัดเลือกโดย “ระบบรับตรง” กันมากขึ้น จนทำให้เกิดปัญหานักเรียนทิ้งห้องเรียนไปกวดวิชา และวิ่งรอกสอบ ซึ่งเป็นปัญหาที่รัฐบาลใหม่ต้องเร่งแก้ไขโดยด่วนอีกเรื่อง
เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นโจทย์ใหญ่ ที่รอ “รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” และ “รัฐมนตรีว่าการ ศธ.” คนใหม่ เข้ามาแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน
เพราะปัญหาด้าน “คุณภาพ” เป็นเรื่องที่รอไม่ได้
ไม่เช่นนั้นแล้ว การศึกษาไทยก็คงจะย่ำอยู่กับที่ และไปไม่ถึงดวงดาวกันเสียที!!