บัวแก้วยุค”ปึ้ง-สุรพงษ์" ต้องเร่งปฏิรูปแนวคิดการฑูต
หนึ่งในนโยบายเร่งด่วน 16 ข้อ ของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่บรรจุไว้ในเอกสารคำแถลงนโยบายการบริหารประเทศของรัฐบาลที่จะแถลงต่อที่ประชุมรัฐสภาในวันที่ 24-25 สิงหาคมนี้ พบว่านโยบายด้าน”การต่างประเทศ”ก็ถูกบรรจุไว้เช่นกันในข้อที่ 5 ที่บอกไว้ว่า
“เร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์และพัฒนาความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและนานาประเทศ”
ที่ต้องคอยติดตามกันว่า รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ที่มีนายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ คุมกระทรวง”บัวแก้ว”คนนี้จะนำพาประเทศไทยในด้านการต่างประเทศไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน
หลังรมว.ต่างประเทศ ถูกวิจารณ์และตั้งข้อกังขาอย่างหนักในเรื่องคุณสมบัติและการเข้าสู่ตำแหน่งรัฐมนตรีที่ถือเป็นหน้าตาของประเทศว่า มีความเหมาะสมมากน้อยแค่ไหน ?
อย่างไรก็ตาม ในทัศนะของนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ จากค่ายรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการให้ความเห็นที่แตกต่างกัน
คนหนึ่งบอกว่าต้องการให้โอกาสนายสุรพงษ์ได้ทำงานสักระยะหนึ่งก่อน
แต่อีกคนหนึ่งบอกว่าแค่ยังไม่ทันแถลงนโยบายต่อรัฐสภา การทำงานของรมว.ต่างประเทศ ก็เห็นชัดว่าตอบสนองทางการเมืองให้กับคนบางคนเสียแล้ว
โดยศาสตราจารย์ ดร.ไชยวัฒน์ ค้ำชู อาจารย์ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้มุมมองต่อเรื่องนโยบายการต่างประเทศของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ไว้ว่า
“งานด้านการต่างประเทศเป็นเรื่องสำคัญยิ่งโลกยุคปัจจุบันเป็นโลกสมัยใหม่ การเมือง เศรษฐกิจ สมัยใหม่ จึงเห็นได้ว่าช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาใครจะมาเป็นรมว.ต่างประเทศ จึงถูกจับตามองมากขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้จากรัฐบาลชุดนี้ ก็มีข่าวมาตลอดว่าหาคนมาเป็นรมว.ต่างประเทศได้ยาก ทาบทามไปหลายคนก่อนจะสรุปที่ตัวคุณสุรพงษ์จะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ มาวันนี้เมื่อคุณสุรพงษ์เป็นรมว.ต่างประเทศแล้ว รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์บริหารประเทศแล้ว ก็ต้องเร่งทำงานและงานที่ต้องทำคืองานเชิงรุกไม่ใช่งานรูทีนปกติเหมือนกระทรวงอื่นๆ”
ศ.ดร.ไชยวัฒน์ขยายความเรื่องนโยบายเชิงรุกโดยบอกว่า คือการสร้างบทบาทไทยในเวทีนานาชาติกลับมาเหมือนก่อนโดยเฉพาะก่อนหน้านี้ไทยถือเป็นพี่ใหญ่ในเวทีภูมิภาคอาเซียน แต่ตอนหลังมีปัญหา ดังนั้นก็ต้องทำให้กลับไปเหมือนเดิม รมว.ต่างประเทศต้องทำให้เกิดขึ้นโดยเร็ว
สิ่งที่ต้องทำเร่งด่วนสำหรับเรื่องการต่างประเทศ ศ.ดร.ไชยวัฒน์บอกว่า ต้องเริ่มจากภูมิภาคก่อน เพราะก็เป็นธรรมเนียมที่รมว.ต่างประเทศจะต้องเดินสายแนะนำตัวกับผู้นำอาเซียนทั้งหมด โดยเริ่มจากอินโดนีเซียในฐานะประธานอาเซียน แล้วก็ต้องเร่งแก้ปัญหาข้อพิพาทการเมืองกับกัมพูชา ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่า รัฐบาลกัมพูชา มีท่าทีอันเป็นมิตรกับรัฐบาลชุดนี้อย่างมากตรงนี้ไม่น่าจะมีปัญหา แต่สิ่งสำคัญคือการผูกสัมพันธ์ต่างๆ เหล่านี้ ต้องสร้างโอกาสสร้างประโยชน์ให้ส่วนรวมไม่ใช่ไปสร้างประโยชน์ให้กับบางฝ่าย
“การเจรจากับต่างประเทศ มันก็อยู่บนหลักสำคัญทางการฑูตคือ มันก็ต้องได้สองฝ่าย คือถ้าเราได้ฝ่ายเดียว เขาไม่ได้ เขาเสียประโยชน์ เขาก็ไม่ยอม เพราะเขามองว่าเราได้ฝ่ายเดียว สัมพันธ์ต่างประเทศก็ไม่เกิด แต่ถ้าเราตามเขาทั้งหมด โอนอ่อนตามหมด ไม่ทำการฑูตแบบรักษาประโยชน์ชาติ เราไม่ได้ประโยชน์มันก็ไม่ดี มันก็ต้องให้ได้ทั้งสองฝ่าย ตรงนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญและภารกิจท้าทายรัฐบาลและรมว.ต่างประเทศว่าจะทำได้หรือไม่ “
อาจารย์ด้านรัฐศาสตร์ การต่างประเทศผู้นี้ย้ำว่าที่ผ่านมาไทยเสียโอกาส เสียเวลา เสียสมาธิไปมาก กับการเมืองในประเทศ เรามองทุกอย่างไปที่ตัวคุณทักษิณมากเกินไปแม้แต่ในระดับนานาประเทศ จนทำให้การต่างประเทศของเราไม่ได้ไปมองเรื่องอื่นเช่นการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ การแข่งขัน การค้า การศึกษา ทำให้ประเทศเสียโอกาสไปด้วย
“ที่พูดแบบนี้ไม่ได้หมายถึงว่าให้ข้ามพ้นคุณทักษิณไปเลยในบางเรื่องที่สำคัญๆแต่ให้เราเอาการต่างประเทศกลับมาสร้างประโยชน์ให้ส่วนรวมในประเทศเพราะขืนเราไม่ทำแบบนั้น ผมว่าเราจะเสียโอกาสหลายอย่าง ดูอย่างกรณีเยอรมัน พอรัฐบาลใหม่ขึ้นมา ยังไม่ทันตั้งรัฐบาล คุณยิ่งลักษณ์ยังไม่ทันได้เป็นนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ เยอรมันก็ออกข่าวเรื่องการให้วีซ่าทักษิณเข้าประเทศเยอรมันทันที หรือหลายประเทศก่อนหน้านั้นอย่างนอร์เวย์ ที่เป็นเช่นนี้ หากให้วิเคราะห์ก็คงเพราะกลุ่มประเทศตะวันตกเขามองว่าคดีคุณทักษิณเป็นคดีการเมืองเป็นเรื่องการเมือง เห็นได้จากกรณีอินเตอร์โพลหรือตำรวจสากลทางฝรั่งเศลก็ไม่ขึ้นบัญชีติดตามตัวคุณทักษิณ"
“พวกตะวันตกเหล่านี้เขามองเรื่องผลประโยชน์ คือรัฐบาลใหม่เข้ามาเขาก็จ้องจะทำการค้า ไปลงทุนกับรัฐบาลชุดนี้ที่มีอำนาจแล้วผมมองว่าตัวรมว.ต่างประเทศรวมถึงพวกเราเองอย่าไปเทน้ำหนักไว้ที่ทักษิณมากเกินไปคือมีแอคชั่นได้แต่เราต้องเอาการต่างประเทศมาทำอะไรให้เกิดประโยชน์กับส่วนรวมจะดีกว่า”
เมื่อถามว่าที่ผ่านมาหลายคนก็ต้องการให้ก้าวข้ามพ้นทักษิณแต่ก็ยังติดๆ ขัดๆ แล้วที่เสนอให้เอาการต่างประเทศมาใช้ประโยชน์จะทำอย่างไรและทำไม?
ศ.ดร.ไชยวัฒน์บอกว่า ขืนหากเราไม่ทำหรือทำช้า ประเทศจะปรับตัวกับสถานการณ์โลกไม่ทันเพราะสถานการณ์โลกเวลานี้ เศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกามีปัญหาอย่างหนัก หลายประเทศในยุโรปก็มีปัญหา เห็นได้จากกรณีที่สเปน กรีซ อังกฤษ แล้วมันก็มีผลกระทบกับเราด้วยเช่นการส่งออก การท่องเที่ยว ดังนั้นการต่างประเทศของเราต้องรีบมองและสรุปปัญหาและผลกระทบเพื่อเตรียมรับมือและทำงานเชิงรุกว่าผลกระทบต่างๆ มันจะไม่ทำให้เราเกิดปัญหาอย่างไร ตัวรมว.ต่างประเทศไม่ควรคิดแต่เรื่องจะทำอะไรกับทักษิณมากเกินไป
“การเข้ามาเป็นรมว.ต่างประเทศของคุณสุรพงษ์ แม้ถูกวิจารณ์หนักแต่การที่ตกเป็นเป้าแบบนี้ก็ทำให้คุณสุรพงษ์ต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น คือไม่ไปทำอะไรเพื่อสร้างปัญหาให้กับตัวเองและตำแหน่ง โดยเฉพาะเรื่องบทบาทนักการฑูต ต้องระวังมากเป็นพิเศษเพราะแม้คุณสุรพงษ์จะคือนักการเมืองจะเป็นส.ส.แต่การเป็นรมว.ต่างประเทศย่อมถูกจับจ้องมากเป็นพิเศษ”
อย่างไรก็ตาม ศ.ดร.ไชยวัฒน์บอกว่ายังไม่อยากวิจารณ์ตัวสุรพงษ์ รมว.ต่างประเทศมากนัก เพราะยังไม่ได้ทำงานอะไร ขอให้เวลาอีกสักระยะหนึ่งก่อนถึงค่อยมาวิจารณ์และประเมินผลงานกัน
และเรื่องที่ทำให้ สุรพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ถูกวิจารณ์อย่างหนักจนกลายเป็น”รัฐมนตรีกระสุนตก”ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์จนตอนนี้ถูกส.ส.พรรคฝ่ายค้านเข้าแจ้งความดำเนินคดีและเตรียมยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ ก็คือการไปร้องขอต่อรัฐบาลญี่ปุ่นให้งดเว้นการใช้ข้อกฎหมายตรวจคนเข้าเมืองของญี่ปุ่นเป็นกรณีพิเศษจากเดิมที่ไม่ให้คนซึ่งถูกดำเนินคดีอาญาที่มีโทษเกินกว่าหนึ่งปีเข้าประเทศก็งดเว้นและออกวีซ่าให้พ.ต.ท.ทักษิณที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินจำคุกสองปีในคดีทุจริตการจัดซื้อที่ดินรัชดาฯ โดยญี่ปุ่นได้ออกคำแถลงว่าสาเหตุที่อนุญาตให้พ.ต.ท.ทักษิณเข้าประเทศก็เพราะมีการร้องขอจากรัฐบาลไทย
เรื่องนี้ศ.ดร. ไชยวัฒน์ ซึ่งเป็นอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในด้านทฤษฏีการเมืองและญี่ปุ่นศึกษาให้ความเห็นไว้ว่า เป็นเพราะทางญี่ปุ่นเขาก็ทำการฑูตแบบหวังผลคือเพราะตอนนี้รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คือรัฐบาลชุดปัจจุบันที่กำลังบริหารประเทศอยู่ เขาก็ต้องการสร้างสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาล คือทำให้ความสัมพันธ์ซึ่งเดิมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกันอยู่แล้วให้มันดีขึ้น เพราะการเมืองระหว่างประเทศไม่มีรัฐบาลของประเทศไหนอยากจะไปสร้างปัญหากับรัฐบาลที่มีอำนาจอยู่
“ญี่ปุ่นก็คงมองเหมือนกับหลายประเทศว่าคดีคุณทักษิณเป็นคดีการเมือง มันก็เลยเอามาใช้เป็นข้อยกเว้นในการให้วีซ่า เพื่อสร้างความสัมพันธ์การเมืองกับรัฐบาล ก็อย่างที่เป็นข่าวที่ฑูตญี่ปุ่นมีการสอบถามกับทางรมว.ต่างประเทศของไทยก่อนเพื่อสอบถามท่าทีเมื่อเขาเห็นว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่ได้มีท่าทีอะไรกับคุณทักษิณ ทางญี่ปุ่นก็อยากให้ความสัมพันธ์นี้ราบรื่น และคงทำให้การติดต่อในด้านต่างๆทั้งการเมือง การค้า การลงทุนของญี่ปุ่นกับรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์นับจากนี้น่าติดตามไม่น้อยหลังจากคุณทักษิณเข้าไปที่ญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม กรณีของญี่ปุ่น ก็เป็นเรื่องของญี่ปุ่น อีกบางประเทศเขาก็ไม่จำเป็นต้องทำเหมือนญี่ปุ่น เขาก็ต้องดูเป็นเคสๆไป เพราะก็มีบางประเทศเช่นสหราชอาณาจักร อังกฤษที่ยังคงไม่ให้วีซ่ากับคุณทักษิณเข้าประเทศ “
ด้านอาจารย์ สุรัตน์ โหราชัยกุล อีกหนึ่งคณาจารย์ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จากคณะเดียวกันกับอาจารย์ไชยวัฒน์คือรัฐศาสตร์ จุฬาฯ
อาจารย์สุรัตน์ แสดงทัศนะในเรื่องนโยบายการต่างประเทศของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไว้ว่า วันนี้เรื่องเร่งด่วนคือกระทรวงการต่างประเทศต้องเร่งทำแผนยุทธศาสตร์ในด้านการต่างประเทศได้แล้ว โดยเฉพาะในเรื่องการทำอย่างไรให้ประเทศไทยรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของประชาคมโลกในด้านต่างๆทั้งการต่างประเทศ เศรษฐกิจ การทหาร
อาจารย์สุรัตน์ให้เหตุผลไว้ว่าที่บอกว่ากระทรวงการต่างประเทศต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เพราะเวลานี้แค่การเตรียมไทยให้พร้อมกับการที่ประชาคมอาเซียนจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ก็พบว่ากระทรวงการต่างประเทศของเรายังไม่เห็นทำนโยบายเชิงรุกอะไร ทั้งเรื่องภาษา เศรษฐกิจ ความเข้มแข็งในการเป็นประชาคมอาเซียน
“ที่ผ่านมาไทยไม่ได้เป็นแสดงความเป็นผู้นำในเรื่องนี้เลย มันเป็นเรื่องใหญ่ล้วนๆ ทำให้ยังมองว่าไทยอาจเสียโอกาสในการแข่งขันหากเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคที่เขาวางแผนคิดไว้นานแล้วว่าเมื่ออาเซียนรวมเป็นหนึ่งแล้วประเทศของเขาจะได้อะไร แต่ของไทยเรายังไม่ได้เตรียมการอะไรกันมากนัก”
สิ่งที่อาจารย์สุรัตน์วิจารณ์การทำงานของกระทรวงการต่างประเทศยังไม่ได้ทำงานเชิงรุก จึงเกิดคำถามว่าแล้วจะทำอย่างไรให้ไทยเตรียมพร้อมกับสิ่งเหล่านี้?
“ถามว่างานเชิงรุกกระทรวงต่างประเทศคืออะไร ที่ไปประชุมทำแผนยุทธศาสตร์อะไรกัน มันคืออะไร เขาก็ตอบไม่ได้หรอก ผมมองว่ากระทรวงปิดตัวเองมากเกินไป ยังไม่ได้ทำงานให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่ไปเร็วมาก ถามว่าวันนี้กระทรวงการต่างประเทศที่ต้องเป็นหัวเรือใหญ่ในการบอกว่าทิศทางของประเทศไทยในเวทีสากลคุณรู้หรือว่าเราจะไปทางไหน คำตอบคือไม่รู้”
สำหรับการทำงานของนายสุรพงษ์ รมว.ต่างประเทศ อาจารย์สุรัตน์บอกว่า ก็ติดใจตั้งแต่แรกแล้วเพราะพอได้ตำแหน่งตัวนายสุรพงษ์ก็ให้สัมภาษณ์ว่า ไม่ได้คาดหวังมาก่อนว่าจะได้เป็นรมว.ต่างประเทศ
“มันแสดงให้เห็นว่าตัวเจ้ากระทรวงก็ไม่ได้มีความพร้อม คือได้ตำแหน่งมาแบบไม่ทันตั้งตัวไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อน พูดแบบนี้หมายถึงอะไร การเป็นรัฐมนตรีโดยเฉพาะกับกระทรวงสำคัญๆ มันต้องพร้อม เพราะไม่ใช่การจับมาเล่นขายของ คุณจะเอาใครมาก็ได้ คนตั้งรัฐบาลตั้งรัฐมนตรีไม่ได้ดูวิสัยทัศน์กันก่อนเลย แล้วมาวันนี้ก็กำลังเข้ามาทำงานอะไรไม่รู้ ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนเลยสำหรับส่วนรวมแต่อาจเร่งด่วนสำหรับใครบางคนกับกรณีเรื่องที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการที่ญี่ปุ่นออกวีซ่าให้คนบางคน หรือการจะเร่งไปเจรจาเรื่องผลประโยชน์น้ำมันและก๊าซในพื้นที่ทางทะเลของไทยกับกัมพูชา ส่วนรวมจะได้ประโยชน์จากเรื่องเหล่านี้มากแค่ไหน
ผู้นำรัฐบาลแท่านรัฐมนตรีต่างประเทศไม่น่ารักเลย ไม่ปรองดอง และเห็นชัดว่าตอบสนองการเมือง มันเป็นเรื่องน่าเศร้า คนเป็นรมว.ต่างประเทศคือหน้าตาของประเทศ ถ้าเป็นเรื่องจริงที่ว่ามีส่วนสำคัญในการขอให้ฑูตญี่ปุ่นช่วยคุณทักษิณเข้าประเทศ ถ้าคนระดับเป็นรมว.ต่างประเทศทำแบบนี้ ที่นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลบอกว่า ทุกอย่างอยู่ที่นิติรัฐ นิติธรรม ในความเป็นจริงพูดแล้วไม่ได้ทำ ตัวรมว.ต่างประเทศคงต้องระมัดระวังให้มากในการใช้หลักเกณฑ์บางอย่างกับคนบางคนเพื่อผลการเมือง”
อาจารย์สุรัตน์ ยังบอกว่า เรื่องความสัมพันธ์ของรัฐบาลชุดปัจจุบันกับประเทศกัมพูชาที่เคยมีปัญหาขัดแย้งกันรุนแรงในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คงเปลี่ยนไปคือมีแนวโน้มที่ดีขึ้นแต่สิ่งสำคัญคือการเปลี่ยนไปของความสัมพันธ์ครั้งนี้ที่จะดีขึ้นมากกว่ารัฐบาลชุดที่แล้ว สิ่งสำคัญคือต้องไม่มีเรื่องของการตอบแทนผลประโยชน์ระหว่างกันของคนไม่กี่คนโดยส่วนรวมไม่ได้อะไรแถมจะเสียประโยชน์ด้วย
“ก็อยากให้จับตามองเรื่องนี้ คือไม่ใช่เข้ามาแล้วก็ทำตามที่กัมพูชาพูดและต้องการทุกเรื่อง จนประเทศเสีย คือเสียทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจทุกอย่างต้องตั้งบนผลประโยชน์ของส่วนรวม แต่เรื่องจะไปเจรจาอะไรกันเรายังไม่รู้วิจารณ์ไม่ได้ขอให้รอดูผลก่อน”
เมื่อถามถึงแล้วความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ จะเป็นอย่างไรสำหรับการต่างประเทศของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์
อาจารย์สุรัตน์ชี้ไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียว่า ความร่วมมือของประเทศต่างๆ เขาก็ต้องดูการเมืองและความรู้สึกของประชาชนในประเทศด้วย อย่างเช่น พรรคปาสในมาเลเซีย คนในพรรคเขาก็ต้องดูความรู้สึกของคนมาเลเซียในพื้นที่ใกล้กับชายแดนไทย-มาเลเซีย ที่มีการติดต่อกับคนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างใกล้ชิด ถ้าประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวยังมีความรู้สึกต่อต้านรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์เพราะอาจรู้สึกว่า สมัยรัฐบาลคุณทักษิณไปก่อเหตุเรื่องเกรือเซะ-ตากใบเอาไว้แล้วมาตอนนี้รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ก็มาบริหารประเทศเขาก็ยังอาจไม่ชอบอยู่
“แบบนี้ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลสองประเทศในเรื่องการร่วมมือกันเพื่อช่วยคลี่คลายปัญหาภาคใต้ก็อาจไม่เกิดหรืออาจเกิดแบบไม่เต็มใจ สิ่งเหล่านี้พวกความร่วมมืออะไรต่างๆ จะเกิดขึ้นต้องมีความจริงใจให้กันก่อนส่วนความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจต่างๆ รัฐบาลก็ต้องทำให้เกิดผลดีกับประเทศ ไม่ใช่ไปสร้างสัมพันธ์เพื่อให้ใครบางคนได้ประโยชน์ด้วยในการได้เข้าประเทศ"
“ผมเองก็ยังไม่เห็นด้วยเลยที่มีฑูตประเทศต่างๆ ในไทยเที่ยวเดินสายไปพบกับหัวหน้าพรรคการเมืองต่างๆในช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมารวมถึงเที่ยวได้ไปแสดงความยินดีหลังเลือกตั้งเมื่อรู้ว่าใครจะได้เป็นรัฐบาลแน่แล้ว พวกฑูตประเทศใหญ่ๆเหล่านี้ควรอยู่เฉยๆ ปล่อยให้การเมืองการเลือกตั้งของเราดำเนินไปกันเอง ไม่ใช่มาแสดงท่าทีแบบที่เกิดขึ้นในช่วงเลือกตั้งและหลังรู้ว่าใครชนะเลือกตั้ง สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องที่ถูก แต่อาจเป็นเรื่องเทคนิคการฑูตการต่างประเทศ แต่มันก็คือการแทรกแซงการเมืองในประเทศดีๆนั่นเองขอทิ้งท้ายว่ารมว.ต่างประเทศและรัฐบาลเองจะทำอะไรเกี่ยวกับด้านการต่างประเทศ คุณต้องทำให้เห็นว่าส่วนรวมได้ประโยชน์ ไม่ใช่คนๆเดียวได้ คนไม่กี่คนได้ ส่วนรวมต้องได้ ไม่ใช่ตัวบุคคล “
เสียงวิจารณ์จากศ.ดร.ไชยวัฒน์ ค้ำชูและอาจารย์สุรัตน์ โหราชัยกุล น่าจะเป็นเสียงสะท้อนที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและนายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศควรจะเงี่ยหูฟังไม่น้อย