ลำดับรับมืออุทกภัย”ยิ่งลักษณ์-ศปภ.” การเมือง นำหน้าแก้ปัญหา
การแก้ปัญหาอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่กำลังเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ ภายใต้การอำนวยการของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัย (ศปภ.) ซึ่งใช้ สนามบินดอนเมือง เป็นศูนย์ใหญ่เพื่อต่อสู้กับอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายสิบปี
ไม่มีใครอยากวิจารณ์ว่ารัฐบาลทำงานล้มเหลวหรือด้อยประสิทธิภาพ เพราะเป็นช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากด้วยกันของคนไทย ต่างก็เอาใจช่วยให้รัฐบาลแก้ปัญหาให้สำเร็จ
แต่กระบวนการรับมือกับอุทกภัยครั้งนี้ของรัฐบาลต้องยอมรับว่า มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นหลายอย่าง การทำงานในหลายส่วนแลเห็นได้ชัดว่า ไม่เป็นเอกภาพ การทำงานมุ่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นหลัก แต่กลับขาดความรวดเร็วและคิดไม่รอบด้านในการรับมือกับภัยธรรมชาติที่คาดคะเนได้ยาก
ยิ่งในช่วงแรกของการรับมือจะพบว่าเป็นไปอย่างล่าช้า ใช้วิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันไปตามสถานการณ์น้ำท่วมรายจังหวัด ไล่ตามปัญหาไปเรื่อยมากกว่าจะตั้งรับอย่างเป็นระบบโดยเฉพาะเรื่องการป้องกันและการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าให้ประชาชนและภาคธุรกิจเตรียมตัวรับมือหนีน้ำ ตรงนี้เป็นความผิดพลาดที่เห็นได้ชัด ยิ่งมาเจอกับปัญหาความไม่เป็นเอกภาพหนึ่งเดียวกันของการแก้ปัญหาก็ยิ่งไปกันใหญ่
แถมมาเจอกับความด้อยประสิทธิภาพในเรื่องการ”สื่อสารในสภาวะวิกฤต”ของศปภ.ที่แม้จะมีการดึงตัวแทนทั้งจากฝ่ายการเมือง-ทหาร-สำนักงานตำรวจแห่งชาติมาร่วมเป็นทีมงานโฆษกศปภ.เพื่อหวังให้ข้อมูลรอบด้านมากที่สุดโดยมีผู้บริหารที่เป็นระดับรัฐมนตรีในศปภ.คอยแบ็คอัพข้อมูลอยู่เบื้องหลัง แต่เมื่อกระบวนการเชื่อมข้อมูลจากส่วนต่างๆ เช่นข้อมูลจากพื้นที่ในแต่ละจังหวัดกับข้อมูลจากส่วนกลางในศปภ.มีความไม่เป็นเอกภาพก็ทำให้การสื่อสารผิดพลาดให้เห็นแล้วหลายครั้ง
อาทิการแถลงข่าวของ”ปลอดประสพ สุรัสวดี”รมว.วิทยาศาสตร์ฯ ที่เป็นหัวหน้าทีมปฏิบัติการของศปภ.กับวิม รุ่งวัฒนะจินดา โฆษกศปภ.เมื่อ 13 ตุลาคม 2554 ผ่านการถ่ายทอดสดโดยเร่งด่วนทางทีวีที่บอกว่าขณะนี้สถานการณ์น้ำท่วมในปทุมธานีเริ่มวิกฤต จึงขอเตือนให้ประชาชนในพื้นที่ปทุมธานีและใกล้เคียงอพยพมาอยู่ที่ดอนเมือง จนสร้างความปั่นป่วนไปทั่วเพราะแม้จะเป็นการแจ้งเตือนแต่ก็แจ้งเตือนเร็วเกินไปหลายวันทั้งที่สถานการณ์ยังไม่วิกฤตขนาดนั้น
ต่อมาวันรุ่งขึ้น 14 ตุลาคม ก็มีการเผยแพร่เอกสารข่าวแจกของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ที่เป็นหนึ่งในซับเซตของศปภ.ซึ่งประกาศพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินเฉพาะหน้าในพื้นที่กทม. 17 เขตในช่วงเช้าวันดังกล่าวโดยที่ศปภ.ไม่รู้การให้ข่าวดังกล่าวที่ขัดแย้งกับคำยืนยันของศปภ.ว่าเวลานั้นสถานการณ์น้ำท่วม รัฐบาลยังรับมือไหว ไม่มีอะไรน่าวิตก และยืนยันว่าสถานการณ์ยังไม่รุนแรงเหมือนที่กรมป้องกันฯเตือนคนกรุงเทพมหานคร
ทั้งสองกรณีคือความสับสน-ไม่เป็นเอกภาพในเรื่องการบริหารข่าวสารของศปภ.ที่ขนาดเรื่องง่ายๆ แค่นี้ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า การทำงานของศปภ.มีปัญหาในเรื่องการประสานงานและความไม่เป็นเอกภาพ จนทำให้สังคมสับสนกับข้อมูลและความน่าเชื่อถือของศปภ. จึงไม่แปลกที่ผลสำรวจไม่ว่าจากสำนักไหน คนก็จะไม่ค่อยเชื่อถือการทำงานของศปภ.มากนัก
ขณะเดียวกันหากดูแนวคิดและคำสั่งของนายกรัฐมนตรีที่หวังให้มีการบูรณาการการทำงานของทุกหน่วยทั้งข้าราชการพลเรือน-ทหาร-ตำรวจ รวมถึงส่วนอื่นๆ ที่ต้องเข้ามาช่วยกันทำงานแก้ปัญหากับศปภ.เช่น กรุงเทพมหานคร ที่เป็นพื้นที่เขตปกครองพิเศษ
ก็เห็นได้ว่า ไม่ประสานกันเท่าที่ควร บางจังหวะผู้คนเห็นได้เลยว่ามีการแย่งซีนกันทำงาน และเอาการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับภารกิจความเป็นความตายครั้งนี้
จึงไม่แปลกที่จะมีเสียงสะท้อนตามมามากมายต่อมาตรการรับมือกับอุทกภัยครั้งนี้ของรัฐบาลที่อยู่ในรูป”ศปภ.”เช่นผลสำรวจของสำนักวิจัยเอแบคโพล มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เมื่อ 16 ตุลาคม 2554 ที่สำรวจความคิดเห็นประชาชนว่าพอใจการทำงานของใครมากที่สุดในการแก้ปัญหาให้ประชาชน ปรากฏว่า 3 อันดับแรกไม่ใช่”ศปภ.”แต่กลับเป็น ทหาร –จิตอาสาหรืออาสาสมัครภาคประชาชนและสื่อมวลชน
จากนั้นต่อมาอีกสองวันคือ 18 ตุลาคม สำนักวิจัยเอแบคโพล ก็เปิดเผยผลสำรวจแบบเรียลไทม์ เรื่อง เสียงสะท้อนของชาวบ้านต่อข้อมูลข่าวน้ำท่วมจากการแถลงของรัฐบาล ในเขต กทม.และปริมณฑล จำนวน 415 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 17-18 ตุลาคม ซึ่งติดตามชมการแถลงข่าวของศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.)
พบว่าส่วนใหญ่ 89.3% สับสนกับข้อมูลข่าวน้ำท่วมที่ได้รับจาก ศปภ. และ 87.2% ไม่วางใจ ไม่เชื่อถือต่อการให้ข้อมูลข่าวน้ำท่วมจาก ศปภ.
ผลสำรวจดังกล่าวพบอีกว่าร้อยละ 73.4% สะท้อนว่าอยากฟังข้อมูลสถานการณ์น้ำท่วมจากกลุ่มคนหรือหน่วยงานที่ทำงานในพื้นที่มากกว่าทีมงานโฆษกของ ศปภ. และ 75.1% ต้องการฟังข้อมูลจากคนทำงานที่ศูนย์พักพิงมากกว่าทีมงานโฆษกของ ศปภ.
“นอกจากนี้ ค่าคะแนนความพอใจเฉลี่ยต่อการให้ข้อมูลข่าวน้ำท่วมของ ศปภ.ด้านต่างๆ โดยภาพรวมได้เพียง 3.36 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน และที่น่าเป็นห่วงคือ คะแนนพอใจเฉลี่ยต่อระบบการแจ้งเตือนประชาชน โดยรัฐบาลได้เพียง 3.08 คะแนนเท่านั้น”ผลสำรวจระบุเอาไว้
ขณะที่สื่อต่างประเทศอย่าง วอลล์สตรีทเจอนัลด์ เขียนบทความเรื่อง Floods Soak New Thai Government หรือ น้ำท่วมเปียกโชกใส่รัฐบาลไทย
ย้ำว่าในตอนหนึ่งว่า ปัญหาใหญ่ที่สุดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คือ การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอุทกภัยแบบตามมีตามเกิด ข้อมูลข่าวสารที่เอาแน่เอานอนไม่ได้นี้ ก่อความตื่นตระหนกแก่ชาวบ้านและบริษัทต่างชาติ มีการปิดโรงงานไปแล้วในหลายแห่งทั่วประเทศ
“การส่งสารมั่วๆ กลับไปกลับมาของรัฐบาล เขตอุตสาหกรรมต้องปิดดำเนินการไปแล้ว5แห่ง ก่อความฉงนแก่เหล่านักธุรกิจยิ่งขึ้นไปอีกว่าวิกฤตนี้จะลุกลามออกไปไกลแค่ไหน”
ทั้งหมดคือสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าผู้คนมองภาพรวมการทำงานของรัฐบาลและศปภ.แบบมีความกังขาและไม่เชื่อถือมากนัก
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะช่วงแรกของการแก้ปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาลชุดนี้ แทนที่จะมุ่งให้ความสำคัญกับการดูแลความเดือดร้อนให้ประชาชน กลับกลายเป็นว่า ถูกแปรให้กลายเป็นเรื่องการเมืองเสียมากกว่า
ไม่ว่าจะเป็นกรณีส.ส.พรรคเพื่อไทยในภาคกลางอย่างสิงห์บุรี-สุพรรณบุรี โจมตีการแก้ปัญหาของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่กำกับดูแลโดยพรรคร่วมรัฐบาลคือพรรคชาติไทยพัฒนาว่าเลือกปฏิบัติในการปล่อยน้ำ จังหวัดเดียวกันอย่างสุพรรณบุรี พื้นที่ของส.ส.ชาติไทยพัฒนาน้ำไม่ท่วม แต่ของส.ส.เพื่อไทยคือ สหรัฐ กุลศรี กลับท่วม เพราะมีการเมืองอยู่เบื้องหลัง ด้วยการเปรียบเปรยว่าเป็นเพราะความเป็น”บรรหารบุรี”จึงทำเช่นนี้ได้
ส่วนฝ่ายส.ส.เพื่อไทย ก็ไปเสนอแนวคิดการจัดตั้ง”กระทรวงน้ำ”ขึ้นที่แม้จะเป็นเรื่องดีในการมองปัญหาระยะยาวแต่ปัญหาเฉพาะหน้ายังแก้ไม่ได้แต่กลับไปมองเรื่องที่ไกลมากเกินไป ก็ดูจะไม่มีเสียงตอบรับจากสังคมเท่าใดนัก รวมถึงมีแนวคิดของนักการเมืองในพรรคเพื่อไทยที่เห็นว่าหากมีการปรับครม.เกิดขึ้นในอนาคตก็ควรจะดึงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยเฉพาะกรมชลประทานมาอยู่ในความดูแลของพรรคเพื่อไทยด้วยการอ้างว่าเพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาเรื่องความไม่เป็นเอกภาพในการทำงานขึ้นอีกเหมือนครั้งนี้
สิ่งเหล่านี้ ทำให้คนมองว่าแทนที่รัฐบาลเพื่อไทยจะมุ่งทุกอย่างไปที่การรับมือปัญหาโดยเอาความเดือดร้อนประชาชนเป็นหลัก แต่กลับมองปัญหานี้ด้วยการเอาการเมืองเข้าไปใส่ ส่งผลให้คนมองว่ารัฐบาลไม่ได้ใส่ใจปัญหาเท่าที่ควรตั้งแต่แรก
เพราะช่วงแรก คนก็มองออกว่ารัฐบาลไม่ได้ให้ความสำคัญกับการรับมือมากนัก เพราะประเมินสถานการณ์ผิดพลาด และตั้งรับด้วยการใช้กลไกระบบราชการเป็นหลัก แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้น ก็บอกว่าเป็นเรื่องสุดวิสัยเพราะเป็นภัยธรรมชาติที่คาดเดาได้แต่ยากจะรู้ความรุนแรงที่เกิดโดยฉับพลัน
เห็นได้จากระยะแรกที่คณะรัฐมนตรีมีมติแก้ปัญหาน้ำท่วม ก็มาเริ่มเอาช่วงเกือบๆ กลางเดือนกันยายนไปแล้วทั้งที่น้ำเริ่มท่วมตั้งแต่กรกฏาคม หลังการเลือกตั้งใหญ่เมื่อ 3 กรกฏาคม 2554 ซึ่งเวลานั้นพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งและรอการเข้าบริหารประเทศแล้ว ซึ่งแม้ว่าตอนนั้นยังไม่ได้เข้าไปทำงานเต็มตัวแต่การเป็นรัฐบาลที่ดีก็ต้องมีการเตรียมพร้อมในส่วนนี้แล้วว่าจะเข้าไปรับมือกับปัญหาน้ำท่วมได้อย่างไร
การออกตัวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในการรับมือกับน้ำท่วม เริ่มจากงานรูทีนปกติคือการช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัย ด้วยการมีมติครม.เมื่อ 6 กันยายน 2554 อนุมัติหลักการให้งบประมาณช่วยเหลือครัวเรือนที่ได้รับความเดือดร้อน 886,915,000 บาท โดยจ่ายให้ครัวเรือนละ 5 พันบาท จากที่มีผู้ประสบภัยรวม 174,383 ครัวเรือน คิดเป็นเงิน 871,915,000 บาท
ต่อมาก็เริ่มติดเครื่องอย่างช้าๆ ด้วยการมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 13 กันยายน 2554 แต่งตั้ง
คณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศอส.)
มี ยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย เป็นประธาน อำนาจหน้าที่ของศอส.คือเป็นศูนย์กลางในการแก้ปัญหาอุทกภัยทั้งหมด
และที่ประชุมครม.วันเดียวกันก็มีการมอบหมายพื้นที่รายจังหวัด 50 จังหวัดให้รัฐมนตรีเกือบทุกคนแบ่งหน้าที่รับผิดชอบไปติดตามปัญหาน้ำท่วม โดยแบ่งเป็น พื้นที่น้ำลดแล้วอยู่ระหว่างการฟื้นฟู 24 จังหวัด และ พื้นที่ประสบอุทกภัย 21 จังหวัด ที่ทำในรูปแบบของคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี
เรื่อง มอบหมายรัฐมนตรีรับผิดชอบเร่งรัด กำกับ ติดตามการกู้วิกฤตจากภัยธรรมชาติ เพื่อช่วยเหลือประชาชนโดยเร่งด่วน
คำสั่งการแบ่งพื้นที่ให้รัฐมนตรีรับผิดชอบพื้นที่น้ำท่วมรายจังหวัดดังกล่าวมีอาทิเช่น
จ.สุโขทัย-พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.คมนาคม-จ.อุตรดิตถ์ น.ส.กฤษณา สีหลักษณ์ รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี-จ.พิษณุโลกและเพชรบูรณ์ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.พัฒนาสังคมฯ-จ.พิจิตร ศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ รมช.พาณิชย์-จ.นครสวรรค์ ปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์ฯเป็นต้น
ระหว่างนั้น สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจเรื่อง”คนไทยคิดอย่างไรกับการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาลเปรียบเทียบ ระหว่างรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”
โดยศึกษาจากตัวอย่างใน 24 จังหวัดทั่วประเทศ กลุ่มตัวอย่าง 4,869 ตัวอย่างระหว่าง 1-17 กันยายน 2554
ได้ผลออกมาว่าคะแนนความพอใจของประชาชนต่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่กำลังแก้ปัญหาน้ำท่วมในเวลานั้นกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่หมดอำนาจไปแล้วและถูกวิจารณ์ว่าแก้ปัญหาน้ำท่วมล่าช้าแต่คะแนนเฉลี่ยออกมาเท่ากันคือ 5.8 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10
ซึ่งในทางการเมืองแล้วถือว่าเสียหายไม่น้อยสำหรับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เนื่องจากสะท้อนได้ว่าประชาชนมองว่ารัฐบาลแก้ไขปัญหาล่าช้า ดูแลความเดือดร้อนของประชาชนไม่ทั่วถึง
แต่รัฐบาลดูเหมือนจะยังไม่ตื่นตัวมากนัก ยังคงใช้เวลาเปลืองเกินไปสำหรับสิ่งนี้ ทั้งที่เห็นแล้วว่าปัญหากำลังใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่การขับเคลื่อนต่างๆ ยังไม่มีอะไรให้เห็น และใช้ระบบกลไกราชการอย่างเดียว และต่อมาที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อ 20 กันยายน 54 ก็เห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารจัดการแก้ปัญหาอุทกภัย ดินโคลนถล่มและภัยแล้ง พ.ศ. ...เพื่อหาแนวทางในการดำเนินการแก้ไขปัญหา-เยียวยาประชาชนที่ประสบภัย
แล้วอีก 9 วันต่อมา เมื่อสถานการณ์อุทกภัยเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ รัฐบาลเริ่มเห็นแล้วว่าอาจมีผลกระทบรุนแรงและอาจรับมือไม่อยู่ จึงมีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีเมื่อ 29 กันยายน แบ่งพื้นที่รายจังหวัดที่น้ำท่วมหนักรวม 12 จังหวัด ให้รัฐมนตรี 14 คนต้องลงไปดูแลพื้นที่โดยเร่งด่วน
แต่ก็ดูจะไม่ทันการแล้ว เพราะรายงานที่นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลได้รับจากหลายหน่วยงาน เริ่มสรุปและชี้ชัดว่า ถ้ากลไกรัฐยังคงทำงานแบบเดิมๆ คงยากจะรับมืออุทกภัยครั้งนี้ได้
จึงทำให้เมื่อ 7 ตุลาคม 2554 รัฐบาลจำเป็นแล้วที่ต้องยกระดับความรุนแรงของอุทกภัยให้เป็นเรื่องเร่งด่วนและวาระแห่งชาติ
จึงมีการออกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีจัดตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) มีพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรมเป็นผอ.ศูนย์ศปภ.
มีภารกิจหน้าที่หลักคือ
1.ผลักดันน้ำลงสู่ทะเลโดยเร็ว โดยให้มีการระบายน้ำออกสู่ทะเลในทุกช่องทางโดยขอความร่วมมือกับกองทัพเรือและภาคเอกชน
2.ระดมความช่วยเหลือเบื้องต้นในการให้ประชาชนสามารถดำรงชีพอยู่ได้ในภาวะวิกฤต ด้วยการจัดหาอาหารน้ำดื่ม และอุปกรณ์ในการดำรงชีพ
3.ระดมกำลังทั้งหมดเข้าช่วยเหลือ แก้ไขปัญหาให้กับผู้ประสบภัย
ภายใต้โครงสร้างการปฏิบัติงานที่ประกอบด้วย 2 ฝ่ายหลักคือ
1.ฝ่ายปฏิบัติการ
มีนายปลอดประสพ สุรัสวดีรมว.วิทยาศาสตร์ฯเป็นหัวหน้าฝ่าย
2.ฝ่ายอำนวยการร่วม
มีพล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัตรมว.คมนาคมเป็นหัวหน้าฝ่าย มีหน้าที่ในการอำนวยการสั่งการ เพื่อสนับสนุนการทำงานของฝ่ายปฏิบัติการ พร้อมทั้งศึกษาวิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์ และแจ้งเตือนภัยแก่ประชาชน
อีกทั้งในสองฝ่ายดังกล่าวยังมีอีก 3 หน่วยงานย่อยคือ
1.กลุ่มป้องกันและแจ้งเตือนภัย
น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพรมว.ไอซีทีเป็นผู้รับผิดชอบ
2. กลุ่มสนับสนุน
นายวิทยา บุรณศิริรมว.สาธารณสุข เป็นผู้รับผิดชอบ
3.กลุ่มสารสนเทศและโฆษก
นางฐิติมา ฉายแสงโฆษกประจำสำนักนายกฯเป็นผู้รับผิดชอบ
และยังมีคณะกรรมการชุดที่มี"กิตติรัตน์ ณ ระนอง"รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ เป็นหัวหน้าทีมวอร์รูมในศปภ.เพื่อประเมินสถานการณ์ผลกระทบภาคเศรษฐกิจร่วมกับ รมว.คลัง, สำนักงบประมาณ, สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) โดยมีหน้าที่หลักคือวิเคราะห์ถึงความเสียหายโดยรวมในภาคเศรษฐกิจ รวมถึงแนวทางการจัดสรรงบประมาณเข้าสนับสนุนช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหา
โดยหลังรัฐบาลเปิดศูนย์ศปภ.ได้ 5 วัน มติครม.เมื่อ 11 ตุลาคม 2554 ก็ตั้ง “คณะกรรมการเฉพาะกิจฟื้นฟูหลังน้ำท่วม”อีก 3 ทีมแยกได้ดังนี้
1.ทีมฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่เสียหายจากน้ำท่วม เช่น ถนน สะพาน สายไฟฟ้า ไฟฟ้า-ประปา ที่ต้องเร่งซ่อมแซมให้กลับสู่สภาพปกติโดยเร็ว มีพล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต เป็นหัวหน้าทีม
2.ทีมฟื้นฟูเยียวยาความเสียหายด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤตน้ำท่วม มี กิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นหัวหน้าทีม
3.ทีมฟื้นฟูด้านสังคมและคุณภาพชีวิตประชาชน ผู้ประสบภัยน้ำท่วมหลายล้านคน ซึ่งรัฐบาลต้องเยียวยา มีพล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เป็นหัวหน้าทีม
หลังเปิดศปภ.มาได้เกือบสองอาทิตย์ ท่ามกลางวิกฤตที่แรงขึ้นเรื่อยๆ ความมั่นใจของประชาชนต่อการแก้ปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาลเริ่มหดหายไปตามลำดับหลังคำยืนยันต่างๆ ของคนในศปภ.เริ่มไม่เห็นผล
ทั้งกรณีน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมเกือบทั้งหมดในพระนครศรีอยุธยาฯ ที่เดิมมีคำยืนยันจากคนในศปภ.ว่าน่าจะรับมือได้ หรือคำยืนยันจากนายกรัฐมนตรีก่อนหน้านี้ว่า กรุงเทพปลอดภัยแล้ว น้ำไม่ท่วม แต่ต่อมาคำยืนยันดังกล่าวก็ไม่เต็มเสียงหลังน้ำทะลักจากปทุมธานี-รังสิตจ่อเข้ากรุงเทพฯ
รัฐบาลก็พยายามหาทางแก้ไขปัญหาอย่างสุดฤทธิ์ ท่ามกลางความเอาใจช่วยจากคนไทยทั้งประเทศ
มีการออกมาตรการอีกสารพัดในการประชุมครม.เมื่อ 18 ตุลาคมที่ผ่านมาเช่น แนวทางการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและขั้นตอนการฟื้นฟู 4 ระยะเช่นระยะเฉพาะหน้า-หลังน้ำลดแล้ว หรือการมอบหมายงานให้แต่ละกระทรวงดูแลอาทิ การแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสีย ให้กระทรวงกลาโหมและกระทรวงทรัพยากรฯ ดูแล –การช่วยเหลือครู นักเรียน โรงเรียน ให้กระทรวงศึกษาธิการรับผิดชอบ
ซึ่งก็ยังคงเป็นการออกมาตรการช่วยเหลือที่ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจหรือเป็นการทำงานเชิงรุกอะไรเพราะจะพบว่ามันก็เป็นหน้าที่ของแต่ละกระทรวงโดยปกติอยู่แล้วเช่นกระทรวงศึกษาธิการ ก็ต้องดูแลฟื้นฟูโรงเรียนที่ถูกน้ำท่วม
ส่วนข้อเสนอต่างๆจากหลายฝ่ายที่เสนอให้รัฐบาลแก้ปัญหาให้รวดเร็วยิ่งขึ้นเช่นการออกพรก.สถานการณ์ฉุกเฉิน ด้วยการประกาศให้พื้นที่ประสบภัยรุนแรงเป็นพื้นที่ฉุกเฉินเพื่อให้การแก้ปัญหารวดเร็วและมีกำลังจากฝ่ายต่างๆโดยเฉพาะทหารเข้ามาช่วยมากขึ้น
ก็ไม่ได้รับการขานรับจากรัฐบาลด้วยการยกเหตุผลว่าปัจจุบันทุกหน่วยงานก็มาร่วมมือกันในการแก้ปัญหาดีอยู่แล้วโดยเฉพาะทหารที่ส่งกำลังมาช่วยอย่างเต็มที่ จึงไม่มีความจำเป็นต้องออกพรก.สถานการณ์ฉุกเฉิน เพราะจะมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศโดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว
ท่ามกลางการวิเคราะห์จากคนในหลายภาคส่วนว่าอาจเป็นเพราะรัฐบาลไม่ต้องการให้ทหารเข้ามามีบทบาทเด่นเกินไป จนแซงหน้าสร้างผลงานเหนือรัฐบาล อีกทั้งจะเป็นการฟ้องความด้อยประสิทธิภาพของรัฐบาลว่าแก้ปัญหาไม่ได้จึงต้องขอความร่วมมือจากทหาร แต่ใช้กลไกการเมืองที่อยู่ในรัฐบาลพรรคเพื่อไทยมาช่วยเสริมมากกว่า
อย่างเช่นการดึงพวก 111 อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย -109 อดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชนและแกนนำนปช.คนเสื้อแดงมาช่วยงานที่ศปภ. ที่รัฐบาลดูจะเชื่อมั่นในคนเหล่านี้มากกว่าจะพึ่งพา”ทหาร”
ทั้งการร่วมประชุมวางแผน-การขอคำปรึกษาในฐานะอดีตรัฐมนตรีที่เคยมีประสบการณ์ในการบริหารงานมาก่อน-การช่วยรัฐบาลในการลงไปดูแลพื้นที่น้ำท่วม รวมถึงการดึงกลุ่มมวลชนคนเสื้อแดงจากจุดต่างๆมาช่วยศปภ.เช่นการขอแรงคนเสื้อแดงช่วยลำเลียงขนส่งอาหารไปแจกตามจุดต่างๆหรือการให้คนเสื้อแดงมาเป็นแนวร่วมในการไปสร้างผนังกั้นน้ำหรือขนกระสอบทรายไปวางกั้นน้ำท่วม
“วรชัย เหมมะ”ส.ส.สมุทรปราการและแกนนำนปช.พรรคเพื่อไทยบอกกับ”ทีมปฏิรูป”ว่าคนเสื้อแดงถือเป็นกำลังหลักที่ศปภ.เพราะมีมวลชนมาช่วยจำนวนมากที่ดอนเมือง แต่ละวันน้อยสุดก็อยู่ที่วันละ 80 คน มากสุดก็ประมาณ 200 คน โดยมีการตั้งศูนย์อำนวยการของคนเสื้อแดงไว้เป็นการเฉพาะภายในอาคารสนามบินดอนเมืองที่ชั้นหนึ่งประตู 4 ประตูทางเข้ากองอำนวยการของศปภ.แต่ละวันจะมีแกนนำนปช.มาคอยอำนวยการตลอดทุกวัน ภารกิจที่เข้ามาช่วยก็เช่น บริจาคสิ่งของผ่านเครือข่ายคนเสื้อแดงในจังหวัดต่างๆ แล้วก็ติดต่อให้สมาคมรถบรรทุกที่ให้ความร่วมมือกับคนเสื้อแดงไปขนสิ่งของบริจาคมารวมไว้ที่ดอนเมืองแล้วก็จำแนกแยกไปส่งตามจุดต่างๆ
“มองว่ารัฐบาลไม่ได้มีความล่าช้าในการแก้ปัญหา ทุกคนพยายามเต็มที่แล้ว แต่ระบบราชการไม่เอื้อต่อการแก้ไขปัญหาให้มีความรวดเร็ว เช่นกรมชลประทาน ที่ระบายน้ำบางพื้นที่โดยไม่ดูเรื่องความจำเป็นและความเดือดร้อนของประชาชน คนเลยคิดว่ารัฐบาลแก้ปัญหาล่าช้า”
จะล่าช้าหรือทำงานไม่มีประสิทธิภาพ คงไม่ใช่เรื่องที่คนในศปภ. –ส.ส.เพื่อไทย-คนเสื้อแดง –เจ้าหน้าที่รัฐหรือแม้แต่สื่อมวลชนจะเป็นคนประเมินสรุปการทำงานของศปภ.รวมถึงนายกรัฐมนตรี แต่ผู้ตัดสินคือ ประชาชน ทั้งประเทศ ที่จะตัดสินเองว่าจะให้คะแนนศปภ.ผ่านหรือไม่ หลังสถานการณ์เริ่มคลี่คลายแล้ว