สบช่องฟ้อง “รัฐบาล” ละเลย-ล่าช้าแก้ปัญหาน้ำท่วม
รวดเร็วและรุนแรงเกินกว่าที่ใครหลายคนคาดการณ์ มวลน้ำมหาศาลไหลทะลักท่วมกรุงเทพชั้นนอกและส่อจะจมมหานครแห่งรอยยิ้มในอีกไม่ช้า
ชีวิตอันแสนสงบสุขของชาวกรุงกำลังถูกสั่นคลอนสะท้อนผ่านพฤติกรรมที่หลากหลาย บ้างดิ้นรนเอาตัวรอด บ้างจำนนต่อชะตากรรมอันเลวร้าย
ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับชีวิตและทรัพย์สินอาจยังไม่สามารถประเมินเป็นตัวเลขได้โดยละเอียด ทว่า ตีรณ พงศ์มฆพัฒน์ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประมาณการณ์ไว้ว่า คงไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท
“บ้านเรือนที่จมอยู่ในน้ำขณะนี้กว่า 80% ไม่ได้ตั้งตัวเนื่องจากรัฐบาลไม่ได้แจ้งเตือนล่วงหน้า ดังนั้นรัฐบาลจึงไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบตรงนี้ไปได้อย่างเด็ดขาด” ตีรณ ระบุ
ขณะที่ สมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ให้ความเห็นในกรณีเดียวกันนี้ว่า การปล่อยน้ำจนทำให้น้ำท่วมเช่นนี้ ควรต้องมีคนรับผิดชอบ ต้องมีการสอบสวน เพราะถือว่าเป็นการทำลายเศรษฐกิจของประเทศ
เสียงป่าวร้องถามหาความรับผิดชอบจากรัฐบาลดังขึ้นตามลำดับ กระทั่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา ได้เห็นชอบมาตรการชดเชยความเสียหายแก่ผู้ประสบอุทกภัยภายใต้กรอบไม่เกิน 3 หมื่นบาทต่อราย ก็ไม่ได้ทำให้ความไม่พอใจลดน้อยลง
นั่นเพราะ หากเทียบกับความไม่มั่นคงในชีวิต-ทรัพย์สิน และซากปรักหักพังทางความรู้สึกที่ประชาชนได้รับตลอด 2 เดือนเศษ เนื่องด้วยการบริหารจัดการที่ด้อยประสิทธิภาพ นับเป็นเม็ดเงินที่น้อยนิดและคลาดเคลื่อนจากความสูญเสียที่เป็นจริงอย่างมหาศาล
นำมาสู่การออกแถลงการณ์ของ สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ซึ่งมีใจความสำคัญว่า หากประชาชนที่ถูกน้ำท่วมเห็นว่าได้รับความเดือดร้อนและเสียหายอันเนื่องมาจากคำสั่งและความผิดพลาดในการจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาลสามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายต่อผู้สั่งการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องได้
“น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางของประเทศ เกิดจากปัญหาที่หลายคนเชื่อว่าเป็นภัยตามธรรมชาติที่ไม่อาจป้องกันได้มาตั้งแต่เดือนก.ค.2554 แต่ระยะเวลากว่า 3 เดือนที่ผ่านมาน่าจะเป็นการเพียงพอแล้วสำหรับน้ำหนักของการใช้เป็นข้ออ้างว่าเป็น อุบัติภัยที่ไม่อาจป้องกันแก้ไขได้ตามกฎหมาย” ตอนหนึ่งของแถลงการณ์ระบุ
แถลงการณ์ฉบับนี้ ยังระบุอีกว่า ปัจจุบันแม้รัฐบาลจะอ้างการใช้อำนาจสั่งการตามมาตรา 31 แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 ในฐานะเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา แต่หากในการปฏิบัติการตามหน้าที่ดังกล่าวได้สั่งการไป โดยขาดข้อมูลที่แท้จริง ก่อให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ที่ไม่ควรจะถูกน้ำท่วมจนสร้างความเดือดร้อนและเสียหายต่อชาวบ้านไปจนเกินสมควรแก่เหตุ ถือว่าเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ผู้สั่งการย่อมมีความผิดและต้องรับผิดชอบต่อคำสั่งนั้นๆทั้งทางแพ่งและทางอาญาด้วย
ดังนั้น ชาวบ้านหรือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนและเสียหายอันเนื่องมาจากคำสั่งของรัฐในการบริหารจัดการป้องกันแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของรัฐ หรือผู้ที่คิดว่าตนเองเสียหาย สามารถที่จะรวมตัวกันหรือแยกกันฟ้องรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อศาลปกครองได้ เพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทนต่อความเสียหายทางทรัพย์สินต่างๆ ได้สูงสุด ตามที่กฎหมายแพ่งและกฎหมายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยบัญญัติได้
สอดคล้องกับช่องทางที่ 2 นักกฎหมายเห็นว่าประชาชนมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะฟ้องเรียกร้องค่าเสียหาย
“ประชาชนควรใช้ช่องทางศาลปกครองเพื่อฟ้องรัฐเรียกร้องเงินเยียวยาตามความจริง” ภูมิ มูลศิลป์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ แนะช่องกฎหมาย
ตามมาตรา 9 ของพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง ปี 2552 (2) ระบุว่า คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ “ละเลย” ต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว “ล่าช้า” เกินสมควร
อาจารย์ภูมิ อธิบายว่า ผู้เสียหายสามารถใช้มาตรา 9 ฟ้องร้องรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ โดยอ้างเหตุละเลยในการให้ข้อมูลอย่างทันท่วงที และละเว้นการให้ข้อมูลที่เป็นจริง ส่งผลให้ประชาชนตั้งรับสถานการณ์ไม่ทันจนเกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน พร้อมกันนี้สามารถยื่นฟ้องกรมชลประทาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้ในคราวเดียวกัน
นักกฎหมายรายนี้ ขยายความเพิ่มอีกว่า ประชาชนไม่จำเป็นต้องหาหลักฐานประกอบการฟ้อง โดยศาลมีอำนาจในการเรียกข้อมูลที่ปรากฏมาพิจารณาเอง อาทิ นโยบายการบริหารน้ำของรัฐบาล การปล่อยน้ำจากเขื่อน การวางกระสอบทราย การผันน้ำตามเส้นทางต่างๆ หากศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่ารัฐบาลมีความผิดจริงจะเป็นบรรทัดฐานให้กับผู้ได้รับความเดือดร้อนรายอื่นๆ ด้วย
สำหรับการเรียกร้องเงินชดเชยให้เป็นไปตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง อย่างไรก็ตามรัฐบาลมีสิทธิที่จะโต้แย้งโดยอ้างว่าให้เงินชดเชยรายละไม่เกิน 3 หมื่นบาทแล้ว ซึ่งว่ากันในมุมกฎหมายแล้วถือว่ายังมีน้ำหนักเบาจนเกินไป
ขณะที่ เจษฏ์ โทณวณิก คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม มองว่า ประชาชนมีสิทธิฟ้องร้องผู้ออกคำสั่งแก้ปัญหาน้ำท่วมจนเกิดความเสียหาย แต่ต้องแยกฟ้องเป็นรายบุคคลไม่สามารถฟ้องรัฐมนตรีทั้งคณะเป็นจำเลยเดียวได้ โดยสามารถยื่นฟ้องได้ 3 ศาล คือ ศาลแพ่ง ศาลอาญา และศาลปกครอง ขึ้นอยู่กับการตีความ
ทั้งนี้ หากมองว่าการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐผู้ใดดำเนินการโดยมิชอบ ช่วยเหลือไม่ทั่วถึง อาทิ วางกระสอบทรายฝั่งเดียวจนเป็นเหตุให้อีกฝั่งถูกน้ำท่วม ก็เข้าข่ายมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งระบุว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2,000-2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
อย่างไรก็ตาม หากมองว่าเจ้าหน้าที่รัฐดำเนินการโดยประมาทจนทำให้เกิดความเสียหาย จะเข้าข่ายมาตรา 420 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่บัญญัติไว้ว่า ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดีท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
นอกจากนี้ หากมองคำสั่งของเจ้าหน้าที่รัฐหรือคณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นคำสั่งปกครองนั้นมิชอบ สามารถยื่นฟ้องต่อศาลปกครองตามมาตรา 8 ได้เช่นกัน
อาจารย์เจษฏ์ กำชับอีกว่า ผู้ประสบภัยรายใดเห็นว่าเงินชดเชยที่รัฐบาลจ่ายให้ไม่เกิน 3 หมื่นบาท น้อยเกินกว่าความเป็นจริง ให้ยื่นคำฟ้องเพื่อเรียกร้องให้เยียวยาตามอัตราความเสียหายที่แท้จริงได้
ช่องทางมีแล้ว อยู่ที่ใครจะใช้สิทธิ !!?!