ความหวังอยู่กับน้ำ "พลังน้ำ พลังคน การจัดการน้ำในอนาคต"
น้ำท่วมว่าแก้ยากแล้ว หลังน้ำลดยิ่งแก้ยากกว่า …
มหาอุทกภัยปีนี้ คงไม่เกินเลยจะที่จะบอกว่า เราไม่เข้าใจภูมิประเทศ ไม่เข้าใจธรรมชาติของน้ำ ไม่เช่นนั้นคงไม่เกิดกรณีน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรม ท่ามกลางคำถาม เป็นไปได้อย่างไร นิคมอุตสาหกรรมไปตั้งอยู่ใน “ทุ่งรับน้ำ”
ทั้งๆ ที่การเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ 'ทุ่ง' ทั้งหมดในอยุธยาเป็นที่รับน้ำ และรับฆ่าศึก แล้วทำไมอุตสาหกรรม จึงได้เข้าไปตั้งอยู่ได้ ในเวทีเสวนาเล็กๆ “พลังน้ำ พลังคน และการจัดการน้ำในอนาคต” จัดโดยมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ณ ร้านหนังสือริมขอบฟ้า มุมถนนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ผู้ศึกษาภูมิวัฒนธรรม กับการตั้งถิ่นฐาน อาจารย์ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม เป็นอีกหนึ่งคนที่แสดงความแปลกใจในเรื่องนี้เช่นกัน
“นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ ไปตั้งอยู่บนทุ่งพระอุทัย (แถววังน้อย) ซึ่งเป็นพื้นที่รับน้ำโดยตรง เราเลยเห็นชัดว่า เมื่อคุณสร้างบ้านแปง เมือง คุณไม่เข้าใจพื้นที่ คุณสร้างโครงสร้างทางอุตสาหกรรมเข้าไปบล็อกเป็นระยะ ดังนั้นเวลามีการผันน้ำออก จึงเทไม่ออก”
นอกจากนี้ยังมีหมู่บ้านจัดสรรนับไม่ถ้วน กระจายไปหมด จนอยุธยากลายเป็นเมืองอุตสาหกรรมโดยตรงไปแล้ว
อาจารย์ศรีศักดิ์ แนะให้ไปดู 'ภูมิวัฒนธรรม' อยุธยาแต่เดิม มีวิธีการกระจายน้ำเข้าทุ่ง เพราะอยุธยาแวดล้อมไปด้วยทุ่ง จากนั้น ก็กระจายไปยังคลองลัด น้ำจึงไม่เข้าตัวอยุธยา แต่ครั้งนี้ “ไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติ เพราะมีการเปลี่ยนทิศทางน้ำไม่เหมือนเก่า” น้ำจึงไปถล่มอยุธยา
“รัฐบาลมองพื้นที่เศรษฐกิจ ไม่เคยมองพื้นที่อยู่อาศัย ขณะที่โครงสร้างการปกครองที่เป็น ท็อปดาวน์ รวมศูนย์ สร้างความเสียหายหมด การจะถอดบทเรียนจึงจำเป็นต้องนำข้อมูลจากคนที่มีประสบการณ์ ข้อมูลน้ำทั้งหมด มารวบรวม ซึ่งในอดีตการจัดการน้ำ เขาจะแคร์พื้นที่อยู่อาศัย พื้นที่ชุมชน ดังนั้นหากเราจะอยู่รอดต่อไป เราต้องทบทวนอดีต ให้หัวใจอยู่ที่ชุมชน”
ในมุมของคนในพื้นที่ ซึ่งเคยอยู่กับน้ำ ผ่านการเรียนรู้ แม้จะมีการเตรียมการมาอย่างดี แต่ครั้งนี้ก็ไม่สามารถเอาชนะได้
ณัฐวัฒน์ ชัยอินทร์งาม นายก อบต.บางระกำ เริ่มต้นบอกถึงสถานการณ์ปัจจุบันให้ฟัง
“พื้นที่ “บางระกำ” ยังท่วมอยู่ และยังท่วมอีกนาน”
“บางระกำ” ที่กำลังพูดอยู่นี้ หาใช่ บางระกำโมเดล ใน จ.พิษณุโลก ที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาเพื่อหวังใช้เป็นต้นแบบในการแก้ปัญหาน้ำท่วมแบบบูรณาการ ไม่ แต่ คือ องค์การบริหารส่วนตำบลบางระกำ อ.บางเลน จ.นครปฐม
พื้นที่นี้เขาคาดการณ์ว่า น้ำจะแห้งหมดก็เดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า โดยใช้ข้อมูลเมื่อปี 2549 น้ำท่วมบางระกำนานถึงเดือนมีนาคมเป็นฐาน ซึ่งสวนทางกับข้อมูลของกรมชลประทาน ที่ออกมายืนยันกับชาวบ้าน น้ำในพื้นที่บางระกำจะแห้งภายในเดือนธันวาคมนี้
“น้ำในปีนี้ หนักหนาสาหัส มากที่สุดเท่าที่เคยพบเคยเห็นมา” นายก อบต.บางระกำ เล่าต่อ และแจกแจงถึงการวางแผนป้องกันน้ำมาอย่างดี ทำมากับมือตั้งแต่เดือนสิงหาคม ทั้งการผลักดันน้ำออกทะเล หวังพร่องน้ำก่อนน้ำเหนือจะมา เพื่อให้คูคลองแห้งขอด พร้อมรองรับมวลน้ำ
แค่ช่วงแค่ 4 วันเท่านั้น ค่ำวันที่ 27 – 30 ตุลาคม 2554 “บางระกำ” พังราบเป็นหน้ากอง พื้นที่ 90% เสียหายหมด เขาบอกว่า เมื่อน้ำไม่ได้มาจากแม่น้ำท่าจีนตามปกติ แต่มาจากพื้นที่ไทรน้อย บางบัวทอง ส่งเข้ามาในพื้นที่
แต่เมื่อต้องอยู่กับน้ำในสภาพความเป็นจริง ผู้นำชุมชนพึ่งพาตนเอง ก็ไม่รอถุงยังชีพ คิดทำโรงครัวแจกจ่ายอาหารช่วงน้ำท่วม ด้วยการร้องขอไปยังเพื่อนตำบลเครือข่ายที่ไม่ถูกน้ำท่วม ขอทั้งหมู ไก่ ข้าวสาร ไข่ไก่ ผัก ฯลฯ เพื่อมาทำโรงครัวกินกันเอง
“การช่วยเหลือชาวบ้าน โดยเครือข่ายท้องถิ่น นอกจากจะรวดเร็วแล้วยังได้ผลมากกว่ารัฐบาลเสียอีก” ณัฐวัฒน์ อธิบาย และว่า สิ่งหนึ่งที่เขาจะทำประมาณเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า หลังน้ำลด คือ เตรียมนัดแนะ เกณฑ์ชาวบ้าน ทำบิ๊กคลีนนิ่งเดย์ 3 วันติด ด้วยการชักชวนชาวบ้านอบต.บางระกำ ชาวบ้านตำบลต่างๆ มาร่วมด้วยช่วยกันทำความสะอาดสถานที่ราชการก่อนหนึ่งวัน,วันที่สอง ทำบ้านใครบ้านมัน แต่แบ่งเป็นหมู่บ้าน และวันที่สาม ใครทำบ้านได้สะอาดหมดจด ก็ให้มารับรางวัล ซึ่งจะเป็นพวกตะไคร้ โหระพา กระเพรา ที่เครือข่ายฯ นำมาให้นั่นเอง
"พวกตะไคร้ ต้นรัก กะเพรา โหระพา ชาวบ้านอยากได้มากที่สุด มากกว่าถุงยังชีพ เพราะพวกนี้ปลูกได้เงินเร็วที่สุด ขณะที่ข้าวกว่าจะได้เงิน ไม่ต่ำกว่า 4 เดือน หรือต้นไม้ก็ใช้เวลาในการปลูกหลายปี"
ขณะเดียวกัน นายก อบต.บางระกำ ยังมีแนวคิดต่อยอดทำกองทุนพันธุ์พืช การเยียวยา อบรมอาชีพให้ชาวบ้านในพื้นที่ด้วย ครั้นปีหน้าน้ำมาแบบนี้อีก เขาประกาศลั่นแล้วว่า “พร้อมท่วม” แต่มีเงื่อนไขขอความชัดเจนเรื่องการวางแผนดูแลชาวบ้านก่อน เช่น หากน้ำมา เกษตรกรเกี่ยวข้าวไม่ทัน รัฐบาลต้องชดเชยให้ตามจริง วิธีนี้เขาเชื่อว่า รัฐบาลจะเสียหายน้อยกว่า
“พื้นที่เราเป็นพื้นที่ราบลุ่ม ลุ่มพระพิมล มีพื้นที่หลายแสนไร่ ฉะนั้น การที่เรายอมให้ท่วม รัฐบาลก็ต้องบอกด้วยว่า แสนไร่จะชดเชยอย่างไร บ้านที่น้ำท่วม 3 เดือน จะช่วยอะไรบ้าง เราขอมากกว่าถุงยังชีพ และเงินชดเชยแบบที่เป็นอยู่ ลำพังแค่ค่าบิ๊กแบ็คที่กทม.จ่าย ถ้านำมาจ่ายให้พื้นที่ราบลุ่ม ผมว่าเหลือเฟือ ถนนหนทางก็ไม่เสียหายด้วย” ณัฐวัฒน์ เปรียบเทียบถึงความคุ้มค่า
ก่อนตบท้ายถึงการแก้ไขปัญหาโดยศูนย์กลางอยู่ที่คนๆ เดียว หรือกลุ่มเดียว แม้เป็นการแก้ไขที่ดูดี แต่ก็ไม่ถูกต้องทั้งหมด ฉะนั้น ต้องใช้ชุมชน ท้องถิ่นที่มองเห็น มีประสบการณ์เข้ามามีส่วนร่วม ช่วยกันคิดเพื่อให้เห็นภาพรวม
สำหรับ ผู้ติดตามปัญหาการจัดการน้ำมายาวนาน “หาญณรงค์ เยาวเลิศ” ประธานมูลนิธิเพื่อการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ บอกอย่างมั่นใจถึงสาเหตุน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 เมื่อดูปริมาณน้ำ ซึ่งไม่ได้มากไปกว่า ปี 2538
แต่เป็นเพราะ 1.ปีนี้มีการสร้างถนนขวางทางน้ำ สร้างอุปกรณ์ เช่น บิ๊กแบ็ค กระสอบทราย คันดิน ขวางทางน้ำ ต่างจากปี 2538 ซึ่งยังไม่มีอบต. ดังนั้นงบประมาณที่จะมาทำคันดิน ก็ยังต้องขอจากส่วนกลาง
2.คนมองไม่เห็นทากจุด ทุกอณูของสิ่งก่อสร้างเหล่านั้น
ดังนั้นในอนาคต เขามีข้อเสนอว่า สิ่งก่อสร้าง สิ่งกีดขวางทางน้ำต้องขยาย ทำสะพานให้กว้างขึ้น วาระที่ต้องเร่งทำเร่งด่วนจากนี้ไป คือเปิดทางน้ำ ให้น้ำไหลตามระบบตามธรรมชาติ และต้องคิดใหม่ เราจะทำอย่างไรกับพื้นที่ชุ่มน้ำ (Wetlands) ซึ่งถูกบุกรุกโดยสถานที่ราชการ