รู้ข้อมูล-ภูมิหลังพื้นที่ รับมือภัยพิบัติ ฟันธง”เอาอยู่!”

ธรรมชาติและความเสียหายมักมาพร้อมกับภัยพิบัติเสมอ เพราะมนุษย์ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการกระทำของมนุษย์เองที่บุกรุกทำลายทรัพยากรธรรมชาติ เมื่อเกิดภัยพิบัติมนุษย์จึงไม่สามารถเตรียมตัวหรือรับมือป้องกันกับเหตุการณ์เหล่านั้น แต่มีอีกหลายตำบลที่พร้อมรับมือและมีศักยภาพเมื่อเผชิญหน้ากับภัยพิบัติ "ตำบลต้นแบบ" เหล่านี้ก็สามารถอยู่รอดปลอดภัยไปพร้อมกับภัยธรรมชาติอันน่ากลัวเหล่านี้ได้
"สิ่งสำคัญที่ทำให้พื้นที่หรือชุมชนอยู่ร่วมกับภัยพิบัติได้คือ ข้อมูล เพราะข้อมูลเป็นตัวชี้วัดว่า ชาวบ้านหรือชุมชนมีความเสี่ยงมากแค่ไหน คนที่อยู่พื้นที่ใกล้ดินหรือแม่น้ำมีความเสี่ยงมาก พวกเขาต้องรู้จักการอยู่รอดด้วยตัวเอง ชุมชนต้องมีการตื่นตัว หากไม่ตื่นตัว ไม่พร้อมช่วยเหลือตัวเอง เราจะไม่สามารถอยู่รอดได้
ด้วยภัยพิบัติมนุษย์ทุกคนไม่สามารถหลีกเลี่ยง แต่สามารถป้องกันและบรรเทาได้ ข้อมูลหรือเหตุการณ์ที่ผ่านมาสามารถให้คำตอบได้ว่า น้ำจะท่วมกี่วัน แล้วเอาข้อมูลมารวบรวมเพื่อการเตรียมตัวรับมือกับภัยพิบัติ"
เชวง สมพังกาญจน์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลต้นยวน อำเภอพนม จังหวัดสุราษฏร์ธานี 1 ในตำบลที่มีศักยภาพด้านการจัดการภัยพิบัติเล่าถึงมูลเหตุที่ทำให้ชาวบ้านหรือชุมชนรอดจากการถูกคุกคามของภัยพิบัติ
เขาถ่ายทอดประโยชน์จากการใช้ข้อมูลที่ผ่านมา ซึ่งสามารถบอกตำบลต้นยวนได้ว่า ต้องเตรียมตัวรับมืออย่างไร ระยะเวลาใด เพราะการถอดบทเรียนจากข้อมูลแล้วนำมาปรับใช้ ส่งผลให้เกิดประโยชน์แก่ชุมชน เพราะหากไม่มีข้อมูล ก็ไม่สามารถถอดบทเรียนเพื่อป้องกันหรือบรรเทาเหตุการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นได้
นอกจาก "ต้นยวน" จะเป็นตำบลต้นแบบแห่งการจัดการภัยพิบัติแล้ว ยังเป็น 1 ในตำบลสุขภาวะ ภายใต้การสนับสนุนของสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)อีกด้วย
นายกฯ เชวง เล่าว่า กว่าจะเป็นตำบลหรือชุมชนที่มีการจัดการจัดการภัยพิบัติที่ประสบความสำเร็จได้ก็ยากอยู่ไม่น้อย ต้องเริ่มจากการสืบเสาะหาข้อมูลจากเมื่อก่อน เพราะต้นยวนเกิดภัยพิบัติบ่อยครั้งทั้งดินถล่มและอุทกภัย น้ำป่าไหลหลาก และชุมชนได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม จากการสืบค้นข้อมูล นำข้อมูลมาวิเคราะห์ จากนั้นร่วมกันหาทางออกโดยการประชุมวางแผนจัดการและเลือกพื้นที่ปลอดภัย เช่น วัด โรงเรียน ที่อยู่บริเวณที่สูงโดยเว้นระยะทางให้ห่างไกลจากจุดเกิดเหตุ และสถานที่ต้องกว้างขวาง สามารถรองรับผู้ประสบภัยได้อย่างเหมาะสม
เขายังเล่าถึงประเภทภัยพิบัติ ในตำบลต้นยวน โดยแยกเป็น น้ำท่วมที่เกิดจากน้ำที่ล้นตลิ่งจนไหลบ่ามาท่วมบ้านเรือน น้ำป่าไหลหลาก ดินถล่ม โดยทางตำบลมีจุดรับแจ้งเกิดเหตุ ได้แก่ 1.ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลต้นยวน 2.จุดรับแจ้งประจำจุด โดยจัดเจ้าหน้าที่ อปพร.อยู่ประจำจุด ประมาณ 3-5 คน
ด้านการทำงาน ก็จะมีการประสานขอความช่วยเหลือกับทุกๆตำบลในอำเภอพนม ซึ่งตำบลต้นยวนจะเป็นจุดรวบรวมข้อมูลหรือศูนย์กลาง ซึ่งมีหน้าที่นัดหมายประชุมสำหรับผู้ที่เป็นอาสาสมัคร และเตรียมอาหาร เครื่องอุปโภค บริโภค และติดต่อขอความช่วยเหลือจากเครือข่ายต่างๆ
ปัญหาที่พบบ่อยครั้งสำหรับการป้องกันภัยพิบัติ ผู้นำท้องถิ่นท่านนี้ บอกว่า คืออุปกรณ์ไม่เพียงพอ ทั้งเรือที่ต้องใช้ในพื้นที่ เชือกที่ใช้สำหรับช่วยผู้ประสบภัย วิทยุสื่อสาร เป็นต้น
"สิ่งของเหล่านี้เราจำเป็นต้องใช้โดยเฉพาะวิทยุสื่อสารเป็นอุปกรณ์สำคัญเพราะต้องสื่อสารหรือส่งข่าวให้ทราบโดยทั่วกัน"นายกฯเชวง กล่าว และอธิบายถึงขั้นตอน การช่วยเหลือหลังเกิดภัยพิบัติว่า หลังจากเกิดภัยพิบัติเป็นเรื่องของการเยียวยา หรือการช่วยเหลือผ่านงบประมาณของรัฐบาลที่เข้ามาช่วยเหลือผู้ประสบภัย อีกทั้งยังส่งเสริมชาวนา ชาวไร่ หรือเกษตรกรโดยการจัดเกษตรอำเภอเข้ามาให้การอบรมความรู้เรื่องการทำการเกษตรให้กับชาวบ้านต่อไป
เช่นเดียวกับ "สุนทร ผอมทอง" คณะทำงานเครือข่ายชุมชนคลองชะอุ่น อ.พนม จ.สุราษฎร์ธานี ที่มีการตั้งรับกับภัยพิบัติได้เป็นอย่างดี
โดยแกนนำชุมชนคลองชะอุ่น เล่าว่า การเตรียมการรับมือกับภัยพิบัติ สิ่งที่ง่ายและสำคัญที่สุดคือ ต้องสนับสนุนให้ชาวบ้าน ชุมชน หรือเครือข่ายร่วมกันอนุรักษ์ธรรมชาติ และจัดการประชุมพูดคุย สร้างคณะทำงานเพื่อดำเนินการเฝ้าระวังภัยพิบัติภายในชุมชน โดยดำเนินการจัดตั้ง "เวทีสภาองค์กรชุมชนคลองชะอุ่น" เพื่อพูดคุย สรุปข้อมูลหรือเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง
"การทำงานเรามีการเชื่อมโยงกับโรงเรียนโดยใช้ศูนย์สื่อสารวิทยุเฝ้าระวังภัยพิบัติ และเชื่อมโยงเครือข่ายสมาชิกโดยการใช้วิทยุการสื่อสารสแตนบายเมื่อเกิดเหตุการณ์ฝนตกหนักหรือดินถล่ม จะมีการส่งข่าวเข้ามาที่ศูนย์สื่อสารวิทยุเฝ้าระวังภัย เพื่อการเตรียมการในขั้นต่อไป"สุนทร เล่าถึงการทำงานสำหรับการจัดการภัยพิบัติของตำบลคลองชะอุ่น
นอกจากการเกิดศูนย์สื่อสารวิทยุเฝ้าระวังภัยแล้ว ชุมชนตำบลคลองชะอุ่นยังนำเหตุการณ์ภัยพิบัติเดิมมาพูดคุยกับสมาชิกในชุมชนและเฝ้าสังเกตขณะฝนตกว่า มีปริมาณน้ำฝนมากน้อยเพียงใด
ผิดจากเมื่อก่อนที่ตำบลคลองชะอุ่น ไม่เคยสังเกตการณ์ใดๆเลย เพราะคิดว่าแก้ไขอะไรไม่ได้
"จากการประชุมหรือการสังเกตการณ์เรื่องน้ำ สามารถช่วยบรรเทาและป้องกันการเกิดภัยพิบัติในตำบลคลองชะอุ่นได้ในระดับหนึ่ง และที่สำคัญชาวบ้านมีการตื่นตัวมากขึ้น และเริ่มดึงครู อาจารย์เข้ามาร่วมในเวทีพูดคุยเพื่อให้ความรู้ นอกจากครูแล้วเรายังนำเด็กมาจัดกิจกรรม จัดค่ายเยาวชนเพื่อให้ความรู้ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอีกด้วย"สุนทร กล่าว
เพื่อการเตรียมการสำหรับการรับมือ แกนนำชุมชนตำบลคลองชะอุ่น ยังบอกถึงการเตรียมพร้อมด้านการเตรียมฝึกอาสาสมัครพื้นที่เสี่ยงภัย รวมถึงการจัดกิจกรรมชวนเครือข่ายไปฝึกเพิ่มขีดความสามารถ โดยการฝึกให้สมาชิกใช้สัญญาณทางอากาศในภาคพื้นดิน เพื่อให้สมาชิกเกิดความชำนาญ และจัดทำแผน การจัดการภัยพิบัติในเรื่องการสื่อสาร ข้อมูลต่างๆ ภูมินิเวศน์ ให้พร้อมต่อการเตรียมรับมือกับภัยพิบัติ
ด้าน ผู้ใหญ่โกเมศร์ ทองบุญชู โครงการพัฒนาระบบและโครงข่ายการจัดการภัยพิบัติด้วยพลังสังคมในพื้นที่ภาคใต้ เผยถึงการรับมือกับภัยพิบัติ 3 ขั้นตอนว่า
1.ก่อนเกิดภัยพิบัติอันดับแรกต้องเปลี่ยนวิธีคิดของคนใหม่ เพราะส่วนใหญ่มักคิดว่า ภัยพิบัติเราไม่สามารถหยุดยั้ง แต่สามารถป้องกันได้ เราต้องรับมือหรือปรับตัวให้อยู่กับภัยพิบัติให้ได้
สิ่งสำคัญคือข้อมูลและความรู้ที่ผู้ประสบภัยหรืออาสาสมัครต้องมีให้มากที่สุด ข้อมูลเป็นตัวแปรที่ทำให้เรารู้ว่า เราควรเตรียมรับมืออย่างไรบ้าง ต้องศึกษาสถานการณ์ที่ผ่านมา เกิดภัยพิบัติกี่วัน เพราะข้อมูลเหล่านี้จะไปสัมพันธ์ถึงการจัดเตรียมยา อาหาร สถานที่ที่เหมาะสมและปลอดภัย รวมถึงอุปกรณ์สำคัญที่จะช่วยผู้ประสบภัย นอกจากนี้ ระบบการสื่อสารเป็นเรื่องสำคัญที่จำเป็นต้องใช้ในช่วงประสบภัย เช่น เรือ เชือก วิทยุสื่อสาร เป็นต้น
2.ขณะเผชิญหน้ากับภัยพิบัติ อาสาสมัครต้องเตรียมเรือ หรือมีความรู้เรื่องการขับเรือ การใช้เรือยนต์ การโรยตัวด้วยเชือก รวมถึงมีข้อมูลที่ชัดเจนและแน่นอนก่อนที่จะดำเนินการเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัย เช่น จำนวนผู้ประสบภัย เส้นทางในการไปกู้ภัย เป็นต้น
สำหรับการจัดที่พักให้กับผู้ประสบภัยนั้น เขาเห็นว่า ต้องจำแนกที่อยู่ให้กับผู้ประสบภัย เช่น ที่อยู่สำหรับเด็ก ผู้ป่วย คนชราเพื่อความสะดวกและปลอดภัยของผู้ประสบภัยเหล่านี้
3.ระยะฟื้นฟู เป็นช่วงระยะที่สำคัญอาจต้องใช้ทีมจิตแพทย์เข้ามาพูดคุยหรือช่วยเยียวยาผู้ประสบภัยไม่ให้เกิดอาการเครียด จิตตก หรือระแวงในเรื่องต่างๆ
สุดท้ายผู้ใหญ่โกเมศร์ ย้ำชัดว่า การแก้ปัญหาเพื่อช่วยลดการเกิดภัยพิบัติ การแก้ไขปัญหาในส่วนต่างๆ เราต้องรู้ถึงสาเหตุหรือที่มาของปัญหาเป็นหลัก เช่น ภัยพิบัติที่เกิดจากดินถล่ม คือ การเปิดหน้าของดิน ไม่มีอะไรปกคลุม เราต้องช่วยกันปลูกกล้วยป่า หญ้าแฝก ไม้ไผ่ เพื่อป้องกันการเกิดดินถล่มหรือการเปิดหน้าดิน การปลูกพืชเหล่านี้จะช่วยซึมซับปริมาณน้ำฝนตกได้ถึง 25 เปอร์เซ็นต์
และหากต้องการแก้ปัญหาให้ได้อย่างเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ผู้ใหญ่โกเมศ บอกทิ้งท้ายว่า สิ่งที่ทำให้เกิดปัญหาภัยพิบัติเหล่านี้คือคน มนุษย์ เพราะคนเข้าไปบุกรุกธรรมชาติมากเกินไป ดังนั้นเราต้องปลูกจิตสำนึกคนใหม่เพื่อให้มีการพัฒนาและรักษาป่า หน้าดินเอาไว้
"เราต้องยอมรับว่า ไม่สามารถหลีกเลี่ยงภัยพิบัติได้ อย่าไปคาดหวังในเรื่องของการช่วยเหลือมากนัก เพราะทุกหน่วยงานไม่สามารเข้ามาช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้ทุกชีวิต แต่เราหรือคนในชุมชนต่างหากที่สามารถช่วยตนเองได้"
หากชุมชนหรือพื้นที่ที่ตกอยู่ในความเสี่ยงของการเกิดภัยพิบัติมีข้อมูล ความรู้ หรือการจัดการที่มั่นคง และมีความพร้อมอาจทำให้ชุมชนหรือพื้นที่นั้นๆ เกิดความรู้และพร้อมถ่ายทอดประสบการณ์การอยู่ร่วมกับภัยพิบัติเป็นอย่างดีก็เป็นได้
