นักวิทย์ฯ ไขข้อข้องใจ "นาซ่ามาทำอะไรที่อู่ตะเภา"
“นาซ่ามาทำอะไรที่อู่ตะเภา”
หลายคนยังสงสัย งงๆ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา และก็ยังไม่มีคำตอบแน่ชัด จนเมื่อคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เชิญตัวจริงเสียงจริง นางนริศรา ทองบุญชู อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง รศ.ดร.เสริม จันทร์ฉาย อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และนางสาวบุศราศิริ ธนะ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมเสวนา
และเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูล ก่อนที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณา หลังองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (นาซ่า) ซึ่งขอใช้สนามบินอู่ตะเภาศึกษาวิจัยสภาวะของบรรยากาศภายใต้ชื่อโครงการ Southeast Asia Composition Could, Climate Coupling Reginonal Study (SEAC4RS) ได้ขีดเส้นตายให้ไทยตัดสินใจ
รศ.ดร.เสริม หนึ่งคณะทำงาน ซึ่งเคยร่วมสำรวจชั้นบรรยากาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ใน 7ประเทศ (7-SEAS) และผู้ร่วมอยู่ในโครงการของนาซ่าในครั้งนี้ เริ่มต้นทำความเข้าใจ พร้อมอธิบายสาเหตุที่ต้องมาทำการวิจัยในเขตภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ว่า เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีสภาวะอากาศซับซ้อน โดยเฉพาะในประเทศไทยมีเป็นเขตที่มีการเผาป่า เผาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร รวมถึงมีการปล่อยฝุ่นละอองจากอุตสาหกรรมจำนวนมาก
"ฝุ่นละอองเหล่านี้มีอิทธิพลต่อการเกิดเมฆและความเสถียรภาพของบรรยากาศซึ่งมีผลต่อการเกิดพายุที่รุนแรง" ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ รศ.ดร.เสริม บอกว่า ไทยยังไม่ได้มีการศึกษามาก่อน
ดังนั้น เขาจึงเชื่อว่า การทำวิจัยครั้งนี้ มีประโยชน์ต่อไทยโดยตรง เป็นการเก็บข้อมูลทั้งระบบ เป็นความร่วมมือของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ไต้หวัน เป็นต้น โดยมีการใช้ดาวเทียม เครื่องบิน และการวัดภาคพื้นดิน
ครั้งนี้นาซ่าก็ไม่ได้ทำเพื่อ "ไทย" เพียงประเทศเดียว ซึ่งที่ผ่านมาโครงการลักษณะนี้เคยทำที่ตะวันออกกลาง และแอฟริกาใต้มาแล้ว ซึ่งเป็นการปฏิบัติเป็นประจำ ขณะที่อุปกรณ์และการดำเนินการต่างๆ เพื่อการสำรวจทางวิทยาศาสตร์อย่างชัดเจนและสามารถตรวจสอบได้ ฉะนั้น ไทยจึงไม่ควรเอาไปเชื่อมโยงกับเรื่องอื่นๆ
ก่อนจะยืนยันว่า ไม่มีความเกี่ยวข้อกับการจารกรรมทางทหาร
"โครงการนี้ไม่เกี่ยวกับการที่จีนจะไม่พอใจ ผมเชื่อว่า จีนนั้นอ่านเกมออก และสามารถแยกแยะการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ และการเคลื่อนไหวทางการเมืองได้ ที่สำคัญคือโครงการครั้งนี้จีนก็มีส่วนร่วมด้วย"
อู่ตะเภาเหมาะสม ปลอดภัย-ใกล้ กรุงเทพฯ
ส่วนความสงสัย เหตุใดต้องเจาะจงเลือกอู่ตะเภานั้น รศ.ดร.เสริม ก็มีคำอธิบายชัดว่า เหตุที่ต้องใช้สนามบินอู่ตะเภา เริ่มต้นมาจากกรณีการเข้าร่วมประชุมที่ฮานอย ประเทศเวียดนาม เขาเองเป็นผู้เสนอให้ใช้สนามบินพลเรือนเป็นที่ตั้งศูนย์วิจัย เพราะสามารถขออนุญาตได้ง่าย และไม่มีการบินมารบกวน
"ในตอนแรกได้มีการเสนอให้ใช้สนามบินสุราษฎร์ธานี รวมถึงที่เชียงใหม่ด้วย แต่เมื่อเข้าไปสำรวจพบว่า สนามบินไม่มีความพร้อมและไม่เหมาะ เนื่องจากมีรันเวย์สั้น อาจเกิดอุบัติเหตุได้ ไม่มีโรงเก็บอุปกรณ์ทดลอง รวมถึงอยู่ใกล้จากกรุงเทพมหานคร ดังนั้นจึงใช้พื้นที่ของสนามบินอู่ตะเภา"
สำหรับขั้นการการทำสำรวจนั้น นาซ่า จะใช้เครื่องบิน บินออกไปในระยะ 5,000 กิโลเมตร ถึงประเทศฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย โดยจะบิน 3 ระดับ คือ
1.ระดับ 20 กิโลเมตร เพื่อสำรวจชั้นบรรยากาศสูงสุด โดยเครื่องบินที่ใช้บินในชั้นนี้แปลงมาจากเครื่องบินสอดแนม แต่ใช้ในทางวิทยาศาสตร์และสามารถตรวจสอบได้
2.ระดับ 10 กิโลเมตร เพื่อสำรวจในชั้นบรรยากาศระดับกลาง
และ 3.ระดับ 2 กิโลเมตร โดยบินเป็นลักษณะคลื่นเพื่อสำรวจมลภาวะในระดับต่างๆ
รศ.ดร.เสริม ย้ำด้วยว่า หากโครงการนี้ไม่ได้ดำเนินการต่อ ในอนาคตเราอาจจะไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ ถึงการเกิดภาวะแห้งแล้งหรือน้ำท่วมได้เลย....
ย้ำโครงการนี้เป็นความร่วมมือ ไม่ใช่ฝรั่งทำ ฝรั่งได้อย่างเดียว
ด้านนางนริศรา หนึ่งในผู้วิจัยร่วมกับนาซ่า และเคยเข้าร่วมโครงการนี้ในภูมิภาคอื่นๆ เล่าวว่า ที่ผ่านมานาซ่าเคยสำรวจชั้นบรรยากาศที่เกาะฮ่องกง และญี่ปุ่นมาก่อนแล้ว แต่ข้อมูลที่ได้ในครั้งนั้นไม่สามารถนำมาใช้กับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้
ดังนั้น ครั้งนี้เขาจึงต้องมีการเข้ามาบินสำรวจในภูมิภาคนี้เพื่อให้ได้ข้อมูลเพิ่มเติม โดยประเด็นที่นักวิทยาศาสตร์สนใจ คือ ลักษณะและการเปลี่ยนแปลงของละอองลอยที่เกิดจากการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม การเผาป่า
“สำหรับการเข้ามาในประเทศไทยในครั้งนี้ใช้งบประมาณ 900 ล้านบาท ซึ่งจะมีการบินภายใน 2 เดือนจำนวน 20 ครั้ง นั่นคือเฉลี่ยครั้งละ 45 ล้านบาท" อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล. บอก และเห็นว่า ดังนั้น ต้องใช้งบประมาณดังกล่าวอย่างฉลาด ซึ่งการวางแผนการบินนั้นไม่สามารถที่จะบอกล่วงหน้าได้ เนื่องจากสภาพอากาศมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
โดยลักษณะการทำงาน ก็จะมีการเตรียมการ 3 วันก่อนออกบินสำรวจ โดยมีนักอุตุนิยมวิทยา และนักวิทยาศาสตร์ เข้าร่วมประชุมเพื่อหาเส้นทางบินที่จะตรวจและให้ได้ข้อมูลที่ต้องการ
"โครงการครั้งนี้เป็นความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ที่หลายประเทศทำงานร่วมกัน ไม่ใช่ฝรั่งทำ ฝรั่งได้ และไทยไม่ได้อะไรเลย ทั้งนี้ ยืนยันว่าไทยจะสามารถเข้าถึงข้อมูลในทุกระดับ ได้อย่างถูกต้อง และโปร่งใส" นางนริศรา ให้ข้อมูล
จี้หากปฏิเสธ ต้องตอบประชาคมโลกให้ได้
เมื่อถามถึงสาเหตุที่ทางนาซ่าเร่งรัดให้ไทยตอบตกลงภายในวันที่ 26 มิถุนายนนี้ นางนริศรา อธิบายว่า ความจริงแล้วโครงการนี้มีการทำการตกลงมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 2553 กับทางสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) แต่การดำเนินการเป็นไปอย่างล่าช้ามาก ซึ่งหากเป็นไปตามแผนควรต้องมีการดำเนินการอนุมัติให้เสร็จสิ้นภายในเดือนพฤษภาคม
แต่เมื่อโครงการนี้จะเริ่มดำเนินการในเดือนสิงหาคม ขณะที่ต้องมีการขนย้ายอุปกรณ์มาก่อนล่วงหน้า 2 เดือน แต่นับถึงปัจจุบันก็ยังไม่ได้รับการอนุมัติ จึงอาจส่งผลให้ประเทศไทยเสียโอกาส!!
“คำถามที่เกิดขึ้นคือ ในเมื่อเราไม่มีศักยภาพในการทำเองมีคนอื่นมาทำให้ฟรี ๆ ทำไมเราไม่ทำ และที่สำคัญคือเราจะตอบประชาคมโลกได้อย่างไร ว่าการทดลองทางด้านวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อมเพื่อแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศถูกปฏิเสธในเมืองไทย”
นอกจากนี้ นางสาวบุศราศิริ กล่าวเสริมถึงสาเหตุที่นาซ่าต้องเข้าทำการวิจัยในช่วงนี้ ว่า เนื่องจากโดยปกติไทยจะได้รับอิทธิพลจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือและมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งช่วง 2-3 เดือนนี้ ไทยอยู่ในช่วงของมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ จึงเป็นสภาพอากาศที่เหมาะสมในการตรวจ
"ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีละอองลอย 3-4 ประเภท คือ 1.ละอองลอยที่เกิดจากทะเล คือ เกลือ 2.ละอองที่เกิดจากทราย 3.ละอองที่เกิดจากการเผาไหม้ ซึ่งการตรวจวัดลักษณะแบบนี้จะทำให้เราทราบชนิดและขนาดของละอองลอย ซึ่งจะทำให้เราทราบถึงการก่อตัวของเมฆว่าจะทำให้เกิดฝนหรือไม่ด้วย"
ฉะนั้น การดำเนินการในโครงการนี้จะช่วยให้มีข้อมูลที่ขาดหายไป และช่วยในการพยากรณ์อากาศอย่างแม่นยำ
{youtubejw}1AV4cxVnQ9U{/youtubejw}
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
อู่ตะเภาศูนย์กลางอาเซียน "ดร.อาจอง" ชี้เหมาะสมใช้สำรวจอากาศ-ทะเล http://www.thaireform.in.th/reform-the-news/item/7748--qq-.html
ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง:
ไขข้อข้องใจโครงการของนาซ่าในประเทศไทย โดย รศ.ดร. เสริม จันทร์ฉาย http://www.thaireform.in.th/multi-dimensional-reform/2011-12-08-05-21-57/item/7775-2012-06-25-10-38-53.html