อ่านละเอียด คำวินิจฉัย ศาลรธน. ยก 5 คำร้อง

วันที่ 13 กรกฏาคม ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยคดีประวัติศาสตร์แก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 291 เป็นการล้มล้างการปกครองตามมาตรา 68 หรือไม่ โดยนายบุญส่ง กุลบุปผา และนายนุรักษ์ มาประณีต ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นผู้อ่านคำวินิจฉัย โดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ใช้เวลาประมาณ 15 นาที อ่านช่วงที่ศาลพินิจพิเคราะห์และพิจารณาใน 4 ประเด็น ดังนี้
1.ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 หรือไม่
2. การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 291 สามารถแก้ไขเพิ่มเติม โดยยกเลิกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับได้หรือไม่
3.การกระทำของผู้ถูกร้อง เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ ตามบทบัญญัติไว้ในมาตรา 68 วรรคหนึ่งหรือไม่
4.และหากเข้าเงื่อนไข ศาลรัฐธรรมนูญต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จะมีผลให้ยุบพรรคการเมือง และเพิกถอนสิทธิหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคได้หรือไม่
มีอำนาจรัฐคำร้องไว้พิจารณา-วินิจฉัย ตามม. 68 วรรค 2
ประเด็นที่ 1 ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 หรือไม่
ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 68 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มา ซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการที่ไม่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้มิได้"
และวรรคสองบัญญัติว่า "ในกรณีที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดกระทำการตามวรรคหนึ่ง ผู้ทราบการกระทำดังกล่าวย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว แต่ทั้งนี้ไม่กระทบกระเทือนการดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำการดังกล่าว..."
ย้ำอสส.มีหน้าที่เพียงแค่ตรวจสอบข้อเท็จจริง
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า ในมาตรา 68 วรรคสองเป็นบทบัญญัติที่ให้สิทธิแก่ผู้ที่ทราบถึงการกระทำ ที่เป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามมาตรา 68 วรรคหนึ่ง ที่จะใช้สิทธิให้มีการตรวจสอบการกระทำดังกล่าวได้ โดยให้มีสิทธิ 2 ประการ คือ
ประการที่หนึ่ง เสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริง และยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
ประการที่สอง สามารถยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการ เรื่องการกระทำดังกล่าวได้ เพราะอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบและวินิจฉัยสั่งการ ในกรณีผู้ร้องใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 68 วรรคสอง เป็นอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ อัยการสูงสุดเพียงแต่มีหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง หาได้ตัดสิทธิ์ของผู้ร้องที่จะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยตรงไม่ เมื่อผู้ร้องได้เสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบแล้ว ชอบที่จะใช้สิทธิประการที่สอง โดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้
ศาลฯ เห็นว่า การแปลความดังกล่าว จะสอดคล้องกับเจตนารมณ์ในมาตรา 68 ซึ่งบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และเป็นไปเพื่อการรับรองสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 69 ที่ว่า บุคคลย่อม มีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธี ซึ่งการกระทำใดๆ ที่เป็นไปให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองประเทศ ไม่เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
เนื่องจากการที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งให้เลิกการกระทำที่อาจเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ได้นั้น การกระทำดังกล่าวต้องกำลังดำเนินการ และยังไม่บังเกิดผล ศาลฯ จึงจะมีคำวินิจฉัยสั่งให้เลิกการกระทำนั้นได้ หาไม่แล้ว คำวินิจฉัยของศาลฯ ตามมาตรา 68 วรรคสอง ก็จะเป็นการพ้นวิสัย ไม่สามารถใช้บังคับได้
สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 68 นี้ มีหลักการสำคัญมุ่งหมายให้ชนชาวไทยทุกคนมีส่วนร่วมในการปกป้องพิทักษ์รักษาการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการเข้าสู่อำนาจในการปกครองประเทศให้เป็นไปตามวิถีทางรัฐธรรมนูญไม่ให้ถูกล้มล้าง
โดยสภาพจึงเป็นการป้องกันไว้ล่วงหน้า เพื่อจะได้ มีโอกาสตรวจสอบและวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำที่จะเป็นอันตรายต่อระบบการปกครอง และเป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญมิให้เกิดขึ้นได้
เพราะถ้าหากปล่อยให้เกิดการกระทำที่เป็นภัยร้ายแรงต่อรัฐธรรมนูญ และระบบการปกครองตามรัฐธรรมนูญขึ้นแล้ว ย่อมสุดวิสัยที่จะแก้ไขให้กลับคืนดีได้ เช่นนี้แล้ว ประชาชนผู้ทราบเหตุตามมาตรา 68 วรรคสอง ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนใช้สิทธิของตนต่อต้านการกระทำอย่างสันติวิธี เนื่องจากเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาตรานี้ มิได้มุ่งหมายการลงโทษทางอาญา หรือการลงโทษทางรัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการสั่งให้เพิกถอนการกระทำที่มิชอบ ตามมาตรา 68 วรรคหนึ่งเสียก่อน ที่การกระทำนั้นจะบังเกิดผล
ชี้ตีความ ต้องยอมรับสิทธิไม่ใช่การจำกัดสิทธิ
การมีอยู่ของมาตรา 68 และ 69 แห่งรัฐธรรมนูญนี้ จึงเป็นไปเพื่อรักษา หรือคุ้มครองตัวรัฐธรรมนูญเอง ตลอดจนหลักการที่รัฐธรรมนูญได้รับรอง หรือกำหนดกรอบไว้ ให้เป็นเจตนารมณ์หลัก ทางการเมืองของชาติ คือการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และป้องกันการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการที่ไม่ได้เป็นไปตามวิถีทาง ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
ความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญประการนี้ ต่างหาก ที่ถือเป็นเจตนารมณ์หลักของรัฐธรรมนูญที่ต้องยึดถือไว้เป็นสำคัญยิ่งกว่า เจตนารมณ์ของผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งแม้จะถือเป็นเครื่องมือช่วยค้นหาเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญได้ แต่ความเห็นของผู้ร่างฯ คนใดคนหนึ่งก็มิใช่เจตนารมณ์ทั้งหมดของรัฐธรรมนูญ
แต่อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากรายงานการประชุมของสภาร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งการร่างรัฐธรรมนูญ 2540 และร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ยังพิจารณาได้ว่า สาระสำคัญของการอภิปรายนั้น มีเจตนาร่วมกันให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญผ่านกลไกของศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรานี้เป็นสำคัญยิ่งกว่า เรื่องของตัวบุคคลที่มีสิทธิเสนอคำร้อง
การตีความเกี่ยวกับผู้มีสิทธิเสนอคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญจึงควรตีความไปในแนวของการยอมรับสิทธิไม่ใช่การจำกัดสิทธิ เพื่อให้ศาลฯ สามารถเข้ามาตรวจสอบการกระทำที่อาจมีปัญหาตามมาตรา 68 วรรคหนึ่ง เพื่อพิทักษ์รัฐธรรมนูญได้ สมดังเจตนารมณ์ของกฎหมาย
กรณีอัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงตามมาตรา 68 วรรคสองแล้ว แต่ยังไม่มีคำสั่งประการใดจากอัยการสูงสุด หากปล่อยให้กระบวนการลงมติ ในวาระ 3 ลุล่วงไปแล้ว แม้ต่อมาอัยการสูงสุดจะยื่นคำร้องต่อศาลฯ ให้วินิจฉัย ก็จะไม่สามารถบังคับตามคำวินิจฉัยไปทางใดได้อีก รวมทั้งไม่อาจย้อนคืนแก้ไขผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำนั้น ได้
ศาลฯ จึงมีอำนาจรัฐคำร้องไว้พิจารณา และวินิจฉัยได้ตามมาตรา 68 วรรค 2
แก้ รธน.ทั้งฉบับตั้งทำประชามติก่อน
2. การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 291 สามารถแก้ไขเพิ่มเติมโดยยกเลิกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับได้หรือไม่
....ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นประเทศที่ใช้ระบบประมวลกฎหมายยึดหลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ ที่รัฐธรรมนูญจะต้องกำหนดวิธีการ หรือกระบวนการแก้ไข เปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญเป็นวิธีพิเศษ แตกต่างจากกฎหมายทั่วไป
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนี้ได้มาโดยการลงประชามติของประชาชน ก็ควรให้ประชาชนผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญได้ลงประชามติก่อนว่า สมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ หรือรัฐสภาจะใช้อำนาจแก้ไขรายมาตรา ก็เป็นความเหมาะสม ซึ่งจะเป็นการสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาตรา 291
คาดการณ์ล่วงหน้า ข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฎ ยกคำร้อง
3.การกระทำของผู้ถูกร้อง เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ ตามบทบัญญัติไว้ในมาตรา 68 วรรคหนึ่งหรือไม่
พิจารณาแล้วเห็นว่า การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามมาตรา 291 มีเจตนารมณ์เพื่อต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมรายมาตรา เพื่อปฏิรูปการเมือง และปรับปรุงโครงสร้างทางการเมืองขึ้นใหม่ เพื่อให้มีประสิทธิภาพและเสถียรภาพยิ่งขึ้น และเป็นอำนาจที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 ให้ไว้ เพื่อเป็นช่องทางแก้ไขปัญหาจากข้อบกพร่องของตัวรัฐธรรมนูญเอง และจากข้อเท็จจริงทางการเมือง ที่ต้องแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ และมีความสอดคล้องต่อเนื่องในคราวเดียวกัน
ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่... พ.ศ...จึงเป็นผลมาจากรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 291 อันถือได้ว่า มีที่มาจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน หากพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฯ ให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ และกำหนดจำนวนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ดังที่ได้ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาฯ วาระ 2 และกำลังเข้าสู่การลงมติวาระ 3 จะเห็นได้ว่ากระบวนดังกล่าว ยังไม่มีข้อเท็จจริงเพียงพออันถือได้ว่า เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง
อีกทั้งขั้นตอนการจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญก็ยังไม่เป็นรูปธรรม การกล่าวอ้างของผู้ร้องจึงเป็นการคาดการณ์ล่วงหน้า ซึ่งยังไม่มีผลแต่ประการใด....
ทั้งนี้ ศาลฯ ได้พิจารณาบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 291 (1) วรรคสอง ข้อจำกัดการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ประกอบกับบันทึกหลักการและเหตุผลประกอบร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่) ...ที่ให้เหตุผลจะยังคงรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตลอดไป และ บทบัญญัติของร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าว ตามมาตรา 291/11 วรรคห้า ก็บัญญัติคุ้มกันร่างรัฐธรรมนูญที่จะไม่กระทบถึงสาระสำคัญแห่งรัฐ ด้วย
อย่างไรก็ตาม หากสภาร่างรัฐธรรมนูญได้ร่างรัฐธรรมนูญที่มีลักษณ์เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขในหมวดพระมหากษัตริย์แล้ว ทั้งประธานรัฐสภา มีอำนาจยับยั้งให้รัฐธรรมนูญตกไปได้ หรือบุคคลได้ทราบการกระทำดังกล่าว ก็ยังมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริง และยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว ในทุกช่วงเหตุการณ์ ที่บุคคลนั้นทราบตามที่มาตรา 68 มีผลบังคับใช้...
ผู้ถูกร้องทั้ง 6 เจตคติอันตั้งมั่นไม่ล้มล้างการปกครอง
ประการสำคัญการชี้แจงข้อกล่าวหา และคำยืนยันข้อเท็จจริงและการไต่สวนของศาลจากฝ่ายผู้ถูกร้อง นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา นายอัชพร จารุจินดา ผู้แทนคณะรัฐมนตรี นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ ผู้แทนพรรคเพื่อไทย นายชุมพล ศิลปอาชา ผู้แทนพรรคชาติไทยพัฒนา และนายภราดร ปริศนานันทกุล ล้วนแต่เบิกความถึงเจตนารมณ์การดำเนินการให้มีการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่า ไม่ได้มีเจตนารมณ์ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และผู้ถูกร้องทั้งหมดยังแสดงถึงเจตคติอันตั้งมั่นว่า จะดำรงคงไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเช่นเดิม
พิจารณาแล้วจึงเห็นว่า ข้ออ้างของผู้ร้องทั้ง 5 ดังกล่าว ข้อเท็จจริงยังไม่เพียงพอจะวินิจฉัยได้ว่า การกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง 6 เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขขออ้าง จึงเป็นการคาดการณ์ เป็นความห่วงใยต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และยังห่างไกลเหตุการณ์ที่กล่าวอ้าง ข้อเท็จจริงจึงยังไม่พอฟังได้ว่า เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ดังนั้นการกระทำของผู้ถูกร้อง ฟังไม่ได้ว่ามีเจตนาการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ 2550
ศาลฯ จึงให้ยกคำร้องในส่วนนี้ และไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยในประเด็นข้อเท็จจริง ในข้อที่ 4 อีก อาศัยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงวินิจฉัยให้ยกคำร้องทั้ง 5 คำร้อง
ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย และได้นัดคู่กรณีที่ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 กรณีคณะรัฐมนตรี รัฐสภา พรรคเพื่อไทย พรรคชาติไทยพัฒนา นายสุนัย จุลพงศธร และคณะ และนายภราดร ปริศนานันทกุล และคณะ ได้มีการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีผลทำให้เป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 อันเป็นการกระทำเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จำนวน 5 คำร้อง ได้แก่ 1.พลเอก สมเจตน์ บุญถนอม และคณะ 2.นายวันธงชัย ชำนาญกิจ 3.นายวิรัตน์ กัลยาศิริ 4.นายวรินทร์ เทียมจรัส และ 5.นายบวร ยสินทร และคณะ รวม 5 คำร้อง
