ฟัง 3 กูรูน้ำ วัดระดับ ปี’55 ‘ท่วมปริ่มๆ- ประปราย-ไม่ท่วมเลย’

หลังมหาอุทกภัยปี 2554 ที่สร้างความสูญเสียให้ประเทศมากกว่า 1.4 ล้านล้านบาท รัฐบาลยิ่งลักษณ์เอาจริงเอาจังมาก โดยทุ่มงบประมาณกว่า 3 แสนล้านบาท ซึ่งถือเป็นงบประมาณที่มากกว่าการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ 3 เท่าตัว เพื่อใช้ในการนี้
รัฐบาลทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกัน ออกสารพัดโครงการ 'ซ่อม สร้าง' ยกระดับถนน ทำแนวเขื่อนกั้นแม่น้ำ ซ่อมประตูระบายน้ำ พร่องน้ำในเขื่อน ขุดลอกคูคลอง ปลูกป่าเพื่อให้เป็นพื้นที่ซับน้ำตามธรรมชาติ รวมถึงการจัดตั้งองค์กรเกี่ยวการบริหารจัดการน้ำ ขึ้นมาเป็นการเฉพาะ
ทั้งหมดทั้งมวล ก็เพื่อให้มั่นใจ ปีนี้รัฐบาลเอาเรื่องน้ำอยู่
แต่สำหรับนักวิชาการที่จับเรื่องน้ำ เกาะติดสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงด้านภูมิอากาศ คิดเห็นอย่างไร เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำ ท่ามกลาง ความไม่แน่นอน เพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันนั้นยากยิ่งต่อการคาดการณ์มาก
ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร และหนึ่งในคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ยกการคาดการณ์สภาพอากาศ จาก Climate Predictability Tool (CPT) และ The International Research Institute for Climate and Society (IRI) ขึ้นมา ระหว่างการถกบทเรียนบริหารจัดการน้ำของประเทศไทย จัดโดยสถาบันน้ำเพื่อความยั่งยืน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ซึ่งก็น่าตกใจอยู่ไม่น้อย เมื่อ 2 องค์กรนี้ ฟันธง 3 เดือนต่อจากนี้ สิงหาคม กันยายน ตุลาคม โดยเฉพาะกันยายน มีความเป็นไปได้สูงถึง 40-50% ที่ประเทศไทยฝนจะตกหนักมาก
ขณะที่ข้อมูลจากค่ายอื่นๆ เช่น จากทางยุโรป บอกว่า เดือนกันยายน ฝนตกก็จริง แต่จะไม่หนักขนาดนั้น
แม้การคาดการณ์จากหลายค่ายจะไม่ตรงกัน ด้วยมีความไม่แน่นอนปะปนอยู่ แต่คำถามคือ หากรัฐบาลได้ข้อมูลแบบนี้มาแล้วเขาจะบริหารจัดการกันอย่างไร
ความไม่แน่นอน และข้อมูลแบบนี้ ดร.เสรี เห็นว่า ต้องมีการบอกประชาชน บอกผู้ประกอบการให้ตัดสินใจ จะทำอย่างไรด้วย !!
"ช่วงที่เหลือเดือนสิงหาคม กันยายน จะเป็นตัวชี้วัด ว่า ฝนที่ตกในประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ผมคิดว่า ปีนี้ถ้าฝนตกใต้เขื่อน สถานการณ์เลวร้ายสุดก็น้ำจะท่วมคล้ายๆ ปี 2549 แต่ไม่เท่าปี 2554 ที่คันประตูน้ำใหญ่ๆ แตกถึง 11 จุด"
สำหรับการปล่อยน้ำจากเขื่อนใหญ่ๆ กรรมการ กยน. มองว่า ส่วนใหญ่มีปริมาณการกักเก็บน้อยกว่าปี 2554 ถึง 15% ซึ่งเขื่อนยังมีความสามารถในการรับน้ำได้อีกหมื่นกว่าล้าน ลบ.ม.
แต่หากฝนเจ้ากรรม ดันมาตกท้ายเขื่อนแล้ว ล่ะก็ ดร.เสรี ชี้ชัดว่า สถานการณ์น้ำท่วม จะเทียบเท่ากับเมื่อปี 2549 เลยทีเดียว
"หลายๆ ค่ายมีแบบจำลองสภาพอากาศออกมาแล้ว ดังนั้นเป็นหน้าที่ของผู้ที่อยู่ในวงการ หรือรัฐบาล ต้องนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ โดยเท่าที่ดูแนวโน้มฝนกลางปี ถึงกลางปีจะมีปริมาณน้อยลง ดังนั้นรัฐบาลยืดหยุ่นในการกักน้ำในเขื่อนใหม่ ไม่ควรคงไว้ที่ระดับ 45% ของความจุอ่าง"
หันมาฟากนักวิชาการจากรั้วจุฬาฯ กันบ้าง รศ.ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมแหล่งน้ำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ เปิดดูแผนฯ พร่องน้ำในเขื่อน การหาพื้นที่รับน้ำนอง เพื่อให้สามารถตัดยอดน้ำปีนี้ได้ ทำให้เขาเชื่อว่า ปีนี้รัฐบาลดูแลได้ถึง 10%
ก่อนไล่ให้ฟันธง ไปทีละโซนๆ
-ถนนมาลัยแมน จ.นครปฐม น่าจะเอาไม่อยู่
-อ.บางบัวทอง ปี 2554 สาเหตุที่เจอน้ำท่วมหนัก เนื่องจากประตูน้ำ 11 แห่งพัง ดังนั้น จึงเชื่อว่า ปี 2555 ปริมาณน้ำจะน้อยกว่าเก่า
-โซนที่ตั้งใจท่วม รัฐบาลกำหนดให้เป็นโซนผันน้ำ บริเวณคลอง 14- 15 น้ำมาแน่ หากล้นหรือเกินมา ก็จะมาถึงคลอง 7 ฉะนั้น เชื่อว่า ปริมาณน้ำมากกว่าปี 2554
-แม่น้ำท่าจีน พุทธมณฑลสาย 4 และ5 พื้นที่ต่ำ น้ำต้องเข้ามาแน่
ขณะที่แถวฝั่นธนบุรี หรือกทม.ชั้นใน ถ้าจำเป็นจริงๆ รศ.ดร.สุจริต มองว่า อาจต้องมีการปล่อยน้ำเพื่อลดกระแสการเมืองบ้าง น้ำต้องไหลเข้ามา เพื่อไม่ให้ทะเลาะกันระหว่างพื้นที่ชั้นนอกและชั้นใน
"พื้นที่ กทม.จะปริ่มๆ แต่ไม่ท่วมแบบประปรายเหมือนปี 2554 ในมุมมองผม ภาพรวมปริมาณฝนสูงสุดไม่น่าเกินปี 2554"
ขณะที่มีการจัดการน้ำแล้ว แต่สาเหตุที่ยังท่วมอยู่ เพราะความสามารถในการระบายน้ำของประเทศเรายังมีขีดจำกัด นักวิชาการจากจุฬาฯ คาดการณ์ พร้อม หยิบยกข้อมูลขององค์การบริหารสมุทรศาสตร์และบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (National Oceanic and Atmospheric Administration : NOAA) ที่ออกมาเตือนว่า ประเทศไทยมีโอกาสเกิดเอลนีโญ โดยหลังจากเดือนกันยายน ฝนจะตกน้อยลง มีแนวโน้มว่าจะเข้าสู่ภาวะภัยแล้ง
คำว่า สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง เราควรกระตุกเพื่อรับภัยแล้งให้ได้เป็นช่วงๆ พร้อมกับฝากให้สังคมไทยไปคิด กำหนดกติกา และนโยบายใหม่
"เราจะยอมให้น้ำท่วมได้นิดหน่อย ขณะเดียวกันก็แล้งน้อยหน่อย หรือจะไม่ยอมให้น้ำท่วมเลย แต่รัฐบาลต้องไปจ่ายชดเชยค่าภัยแล้ง เรื่องเหล่านี้เราต้องกำหนด เช่น การพร่องน้ำในเขื่อนให้มีปริมาณ 45% ของความจุอ่าง หากคิดถึงภัยแล้ง อาจกระตุกให้กักน้ำเพิ่มขึ้นมากกว่า 45% ได้ เป็นต้น"
เช่นเดียวกับ รศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จากรั้วเดียวกัน ถามหามาตรฐานของสังคมไทยที่จะเจอกับน้ำท่วม ว่า เราวาง return period ไว้เท่าไหร่ พร้อมกับยกตัวอย่าง การป้องกันน้ำท่วมนิวออร์ลีนส์ ในสหรัฐฯ มีทั้งสิ่งก่อสร้างและไม่ใช้สิ่งก่อสร้าง กลมกลืนไปด้วยกัน
แตกต่างจากของไทยๆ การบริหารจัดการน้ำ เราเน้นแต่การก่อสร้างเป็นหลัก ...?!?
ท้ายสุด รศ.ดร.ธนวัฒน์ แสดงความเป็นห่วงด้วยว่า การมีมุมมองมิติน้ำด้านเดียว มองแบบสู้กับน้ำเหนือ ทั้งๆที่ความจริงแล้ว น้ำมาส่วนใหญ่มาประมาณเดือนกันยายน ตุลาคม ยิ่งหากฝนตกหลังเขื่อน เสริมด้วยพายุเข้า เขาเห็นว่า นอกจากประเทศไทยเจอน้ำท่วมหนักแล้ว เรายังเจอภัยแล้งในอนาคตอีกด้วย
"แผนระยะสั้นกว่า 90% เน้นเรื่องโครงสร้าง ขณะเดียวกันแผนก็งานขาดประสิทธิภาพในการแก้ไข เป็นท็อปดาวน์ ขาดการมีส่วนร่วมของภาคสังคม เน้นการก่อสร้าง ไม่ได้มองมิติสังคม รวมถึงขาดความเข้าใจเรื่องน้ำท่วม ทั้งๆที่น้ำท่วมปี 2554 ไม่ได้เป็นเหตุการณ์น้ำท่วมที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่เราลงทุนมากเป็นประวัติศาสตร์ โดยอ้างความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศ จนทำให้เราได้แผนที่ขาดความรอบคอบ ในที่สุดอาจกลายเป็นกับดักซ้ำทำให้เกิดปัญหาตามมา"
ฉันใดก็ฉันนั้น เราต้องยอมรับความจริงข้อหนึ่งว่า การพร่องน้ำในเขื่อนใหญ่ มีดี มีเสีย
วันนี้ระบายน้ำแม้ทำได้ตามเป้า บ้างก็ว่า เกินเป้าด้วยซ้ำไป ยิ่งเมื่อเทียบดูข้อมูลเดือนกรกฎาคม 2554 มีปริมาณน้ำในเขื่อนใหญ่ๆ รวมกัน 8,000-9,000 ล้านลบ.ม. กับ กรกฎาคม 2555 อยู่ที่ 4,000-5,000 ล้านลบ.ม. ด้วยแล้ว อดคิดไม่ได้ว่า หากคาดการณ์ผิดพลาด เลวร้ายสุดตั้งแต่นี้ไปพายุไม่เข้าไทยเลย ถึงปลายปี น้ำในเขื่อนน้อยลง เพราะพร่องน้ำไว้มากเกินไป
ถึงวันนั้น คนไทยจะไม่มีน้ำใช้ มีหวังรัฐบาลต้องควักกระเป๋าจ่ายค่าชดเชยภัยแล้งกันอีกหลายหมื่นล้านบาท ด้วยขาดการมองไกล มองไม่เห็น มิติน้ำต้องสร้างเงิน น้ำต้องลดความสูญเสีย และน้ำสร้างอนาคต...
{youtubejw}p2Yo9sl6nNo{/youtubejw}

