ท้องถิ่นกับบทบาทลงทุนเพื่อ "เด็ก" โตสมวัย กินอิ่มอย่างมีคุณภาพ

เด็กเป็นกำลังสำคัญของประเทศ แต่เด็กไทยกลับตัวเตี้ย แคระแกร็น เรียนรู้ช้า พัฒนาการไม่สมวัย บางคนก็อ้วน น้ำหนักเกิน เพราะกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ บ้างก็ได้รับอาหารไม่ครบถ้วน จนส่งผลต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย ระดับสติปัญญา
ข้อเท็จจริงต่างๆ เหล่านี้ ได้ถูกผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองนี้ มองข้ามไป
ทั้งๆ ที่การเลี้ยงดูให้เด็กเจริญเติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ ฉลาด แข็งแรง ถือได้ว่า เป็นเรื่องสำคัญสุดของการสร้างคน แต่เรากลับปล่อยปละละเลยให้เป็นหน้าที่ขององค์กร หรือสถาบันใดสถาบันหนึ่ง ทำงานเพียงลำพัง
อีกด้านเราต้องยอมรับว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ไม่ว่าจะเป็นเทศบาล หรือองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)คือความหวัง และกำลังก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในการที่จะพัฒนาเด็กไทยให้มีภาวะโภชนาการที่ดี มีตัวอย่างดีๆ ที่ "ภูเก็ต"
จังหวัดภูเก็ต ได้ชื่อว่า มีค่าครองชีพสูงลิบลิ่ว แต่สำหรับการขับเคลื่อนให้อปท. "เพิ่ม" งบประมาณสนับสนุนค่าอาหารกลางวัน เพื่อให้เด็กภูเก็ตอิ่มอย่างมีคุณภาพ ที่นี่เขาทำได้ดีเกินเป้า
เทศบาล 12 ใน 18 แห่ง หรือเกินครึ่งยอมจ่ายเงินสมทบเพิ่ม จากอัตรา 13 บาทต่อหัว ที่ได้รับจัดสรรจากกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
อย่างเทศบาลเมืองป่าตอง ใจป้ำสมทบค่าอาหารกลางวันเด็ก เป็น 20 บาทต่อหัว บางแห่งแม้จะสนับสนุนเพียง 18 บาท 15 บาท ตามลำดับ แต่ท้องถิ่นเหล่านั้น ประกาศเป้าหมายไว้ชัดเจนในแผนฯ เตรียมจะเพิ่มค่าอาหารให้เด็กๆ อย่างแน่นอน
เราจะไม่เห็น เมนูอาหารกลางวันเด็กเหลือเพียงผัดแตงกวา แกงมะเขือ กับวิญญาณเนื้อ หรือนมโรงเรียนที่ผสมนมเทียมจนหาค่าโปรตีนไม่ได้อีกต่อไป

แน่นอนว่า "ค่าอาหารกลางวัน" เป็นหนึ่งในงบฯ รายจ่ายด้านการศึกษา ที่อปท. ต้องจัดสรรเป็นรายหัวให้กับศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก แต่ปัจจัยอะไรเเล่า ที่ทำให้ท้องถิ่นหลายแห่งที่ภูเก็ต ทำได้..!?.!
"เทศบาลเชิงทะเล" กับภาระที่ต้องดูแลเด็กกว่า 1,400 คน ปัจจุบันสนับสนุนค่าอาหารกลางวันอยู่ที่หัวละ 15.50 บาท "สุนิรันด์ รชตะพฤกษ์" นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลเชิงทะเล ตั้งเป้าไว้ว่า ปี 2556 ที่ค่าครองชีพ อัตราค่างจ้างจะถีบตัวสูงขึ้น จากนโยบายปริญญาตรี 15,000 บาท และอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท ซึ่งทำให้เทศบาลฯ มีภาระเพิ่มกว่า 10% แต่เขาก็เตรียมขึ้นค่าอาหารกลางวันเด็กเล็ก เป็น 18 บาทต่อหัว
"งานพัฒนาคุณภาพชีวิตและการศึกษา ทางเทศบาลได้จัดสรรงบฯ ด้านนี้กว่า 20 ล้านบาทต่อปี ยังไม่นับรวมการลงทุนสร้างอาคารเรียนและศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ที่ใช้งบฯ มากกว่า 100 ล้านบาท แต่เราไม่ลืมความสำคัญ "เด็ก" จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพได้ ต้องมีการศึกษาเป็นรากฐาน ยิ่งหากเด็กอยู่ในช่วงปฐมวัยด้วยแล้ว พวกเขาควรได้รับอาหารดีๆ เพื่อจะได้มีสมองที่ดีตามมาด้วย"
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงทุ่มให้กับงานด้านพัฒนาคุณภาพชีวิตเต็มที่ เพราะมองว่า การพัฒนาด้านโภชนาการเด็ก หรืองานด้านสังคม มีความสำคัญๆ ไม่น้อยไปกว่าการปรับปรุงด้านโครงสร้างพื้นฐาน เป็นเรื่องที่ท้องถิ่นต้องทำควบคู่กันไป
เช่นเดียวกับ อบต.กมลา ใช้งบฯ ท้องถิ่นใส่เพิ่มเข้าไปในค่าอาหารกลางวันเด็ก จากเดิม 13 บาท เป็น 15 บาท นายนพพร กรุณา รองนายกอบต.กมลา บอกถึงความสำคัญที่ท้องถิ่นต้องยื่นมือเข้ามาสนับสนุนว่า ค่าครองชีพที่สูงขึ้น ราคาอาหารกลางวันในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ก็น่าจะปรับขึ้นตามไปด้วย
"เพราะหากค่าอาหารกลางวันเด็กยังเท่าเดิม 13 บาท ผมเกรงว่า คุณค่าทางอาหารที่เด็กๆ ควรจะได้รับจะลดลง ซึ่งงบฯ ส่วนนี้ยังไม่รวมกับอาหารว่างวันละ 2 มื้อ"
ท่ามกลางภาวะค่าครองชีพที่มีแต่สูงขึ้นๆ "กรีฑา โชติวิชญ์พิพัฒน์" นายกเทศมนตรีตำบลวิชิต ยอมรับตรงๆ ว่า การจะให้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหาวัตถุดิบสำหรับนำมาทำอาหารในราคา 13 บาท น่าจะเป็นเรื่องยาก ราคานี้แทบจะไม่พอ
เขาเป็นอีกหนึ่งในผู้บริหารท้องถิ่นที่ให้ความสำคัญเรื่องโภชนาการ จึงมีแนวคิดอุดหนุนค่าอาหารกลางวันให้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อีก 2 บาทต่อหัว เป็น 15 บาทต่อหัว แม้จะต้องควักงบฯ เพิ่มปีละกว่า 7 แสนบาท ก็ตาม
อีกกลไกความร่วมมือของเทศมนตรีตำบลวิชิต ที่ผู้ใหญ่ปรารถนาให้เด็กกินอิ่มอย่างมีคุณภาพ มีโรงเรียน และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบางแห่ง ขอเก็บค่าอาหารกลางวันเพิ่มจากผู้ปกครอง 5 บาท เป็น 20 บาทต่อหัว นายกเทศมนตรีตำบลวิชิต ชี้ว่า นั่นเป็นความต้องการ เป็นเจตนารมณ์ร่วมกันของครู และผู้ปกครอง ที่อยากให้ลูกหลานได้ทานอาหารที่ครบตามหลักโภชนาการ จึงไปเติมเต็มตรงนั้น เช่น เพิ่
มเป็นค่าอาหารว่าง หรือขนมให้เด็ก เป็นต้น
"แม้ราคาอาหารกลางวันจะเพิ่มให้เป็น 15 บาทแล้ว ผมก็ยังเชื่อว่า ผู้ประกอบการคงทำยาก หากท่านมาภูเก็ต ท่านจะรู้อาหารที่ภูเก็ตจานเท่าไหร่ งบฯ แค่ 15 บาทผมว่า คงได้ระดับหนึ่ง" นายกเทศมนตรีตำบลวิชิต สะท้อนความจริง เพื่อให้เห็นเด็กจะได้กินอิ่มอย่างมีคุณภาพแท้จริงได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม นี่แค่เป็นตัวอย่างพื้นที่เขตเมือง ประชาชนต้องดิ้นรน เร่งรีบไปทำงาน ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง รวมถึงไม่มีเวลาเลี้ยงลูก เฉกเช่นเมืองใหญ่ทั่วๆ ไป แต่ที่ท้องถิ่นแห่งนี้ แตกต่าง ตรงคิดต่างให้ความสำคัญของการลงทุนสร้างเด็ก
ภูเก็ต เป็น 1 ใน 9 จังหวัด โดยกำลังอยู่ในขั้นทดลองให้ท้องถิ่นนำเงินมาลงทุนในการสร้างเด็กให้มีโภชนาการสมวัย โครงการนี้ดำเนินการมาแล้ว 3 ปี ปี 2555 ถือเป็นปีสุดท้าย
นายสง่า ดามาพงษ์ ผู้จัดการโครงการพัฒนาระบบและกลไกเพื่อเด็กไทยมีโภชนาการสมวัย สมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สสส. บอกว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมผลการดำเนินการโครงการทั้ง 9 จังหวัดนำร่อง เพื่อสรุปผล และวิเคราะห์ข้อมูล จากนั้นจะจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายต่อรัฐบาล และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อปรับปรุงแนวทางการดำเนินการเรื่องนี้ โดยเฉพาะการปรับเพิ่มงบประมาณอาหารกลางวันของเด็กนักเรียนจาก 13 บาทต่อคนต่อวัน เพิ่มเป็น 15-20 บาทต่อคนต่อวัน
เขาเชื่อว่า จะช่วยให้เด็กไทยได้รับอาหารกลางวันที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย และได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนตามหลักโภชนาการด้วย
"เด็กจะเจริญเติบโตสมวัย ต้องเป็นบทบาทของท้องถิ่น" ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการชื่อดัง เชื่อมั่น พร้อมกับทิ้งท้ายถาม หากท้องถิ่นหลายๆ แห่งเจียดเงินเพียงเล็กน้อย ตัดมาจากอภิมหาโครงการสร้างถนนหนทาง แล้วหันมาสร้างคุณภาพชีวิต "คน" แบ่งปันเงินมาทำงานโภชนาการ สังคมไทยจะเกิดอะไรขึ้น....


