แก้รธน.รายมาตราแบบ"เพื่อไทย" "68-291"หรือ"190-237-309"

หลังจากถอยไปตั้งหลักมานานและรอคำวินิจฉัยกลางของศาลรัฐธรรมนูญ ในคดีแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ล้มล้างการปกครองหรือไม่ ที่สุดพรรคเพื่อไทย ก็ได้บทสรุปที่จะเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไปโดยเล็งไปที่ “การแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา”
เหตุผลสำคัญเพราะอีกสองแนวทางที่เหลือ คือ เดินหน้าลงมติร่างรัฐธรรมนูญที่ยังอยู่ในวาระในที่ประชุมรัฐสภา รอการลงมติเห็นชอบขั้นสุดท้าย หรือ การทำประชามติก่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญตามคำแนะนำของศาลรัฐธรรมนูญ มีความเสี่ยงสูง ทั้งเสี่ยงที่จะแก้ไขไม่สำเร็จ และ เสี่ยงที่จะถูกยื่นถอดถอนและตีความซ้ำอีกครั้ง
ข้อยุติของพรรคเพื่อไทยหลังไปสัมมนา สส.พรรคเพื่อไทย ที่ชลบุรี ว่า จะแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบรายมาตรา
อย่างไรก็ตาม ในการหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ เมื่อวันที่ 31 ก.ค.ที่ผ่านมาได้ข้อสรุปว่า จะให้มีการตั้งคณะทำงานหนึ่งคณะเพื่อศึกษาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้รอบคอบ และให้ชะลอการลงมติวาระ3ออกไปก่อน พร้อมกับ เร่งเปิดเวทีคู่ขนานทำความเข้าใจกับประชาชนถึงสาเหตุที่ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ
แม้ที่ประชุมพรรคร่วมรัฐบาล ดูเหมือนไม่สรุปชัดว่าจะเลือกแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบใด แต่มีแนวโน้มสูงว่าจะลงเอยที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราตามที่พรรคเพื่อไทยสรุปความเห็นก่อนหน้านี้ เนื่องจาก การแก้ไขรายมาตรามีข้อดี ที่ใช้เวลาไม่มาก เพราะแก้ผ่านกระบวนการรัฐสภา และไม่ต้องตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ ทำประชามติ
ตามหลักเกณฑ์การแก้รายมาตรา ได้กำหนดวิธีการไว้ในรัฐธรรมนูญว่า ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติม มาจากทางหนึ่งทางใดก็ได้ 3 ทาง ดังนี้ จากคณะรัฐมนตรี สส. มีจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร สว. หรือจาก สส. และ สว. มีจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5ของจำนวนสมาชิกที่มีอยู่ของทั้งสองสภา หรือ จาก และภาคประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง จำนวนไม่น้อยกว่า 5 หมื่นคน
ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมเสนอต้องเป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม และให้รัฐสภาพิจารณาเป็นสามวาระ คือ วาระแรกรับหลักการ – ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาพิจารณาในวาระสองโดยต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม – เมื่อพิจารณาวาระสองเสร็จ ให้รอไว้ 15 วัน แล้วให้รัฐสภาพิจารณาวาระสาม หากผ่านความเห็นชอบให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าเพื่อประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
"ทีมศูนย์ข่าวสารนโยบายสาธารณะ" วิเคราะห์สูตรการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา ที่เป็นไปได้มากที่สุดที่รัฐบาลจะชงแก้ในอนาคต มีสองแนวทาง
แนวทางแรก ถอนร่างเดิมที่ค้างอยู่ในวาระ3 ของรัฐสภาหรือโหวตให้ตก แล้ว แก้รายมาตราที่มุ่งไปสู่การยกร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับอีกครั้ง โดยหวังปลดล็อคไม่ให้ศาลรัฐธรรมนูญสามารถเข้ามาตรวจสอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลในอนาคตได้ วิธีนี้ต้องทำสองขยัก
เริ่มจาก ขยักแรก แก้มาตรา 68 ในหมวดสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ซึ่งพรรคเพื่อไทยมองว่ามาตรานี้เป็นอุปสรรคใหญ่ที่ทำให้ไม่สามารถเขียน รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้
มาตรา 68 บัญญัติไว้ว่า “บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ นี้หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้มิได้
….ในกรณีที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดกระทำการตามวรรคหนึ่ง ผู้ทราบการกระทำดังกล่าวย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว...
…ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้พรรคการเมืองใดเลิกการกระทำดังตามวรรคสอง ศาลรัฐธรรมนูญอาจสั่งยุบพรรคการเมืองดังกล่าวได้”
พรรคเพื่อไทยต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรานี้พุ่งไปที่ การตัดเนื้อหา เพื่อให้ ผู้ที่ต้องการยื่นคำร้อง กรณีที่สงสัยว่าบุคคลหรือพรรคการเมืองใดล้มล้างการปกครองต้องยื่นต่ออัยการสูงสุดเพียงช่องทางเดียวเท่านั้น ไม่ต้องยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบควบคู่กันอีกทางเหมือนที่ผ่านมา
หากแก้สำเร็จ ก็จะทำให้ กลุ่มคัดค้าน ไม่สามารถส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบ วินิจฉัยการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เข้าข่ายล้มล้างการปกครองฯได้ หรือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ที่นำไปสู่การยกร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับในอนาคต เพราะอำนาจการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาอยู่ที่ อัยการสูงสุด แต่เพียงองค์กรเดียว ซึ่งรัฐบาลสามารถใช้อิทธิพลทางการเมืองแทรกแซงอัยการสูงสุดได้
ขยักที่สอง เมื่อรัฐสภาแก้มาตรา 68 เป็นที่เรียบร้อย จากนั้นก็เริ่มตั้งต้นกลับมาแก้มาตรา 291 เพื่อให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญกันใหม่ โดยรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลจะต้องเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขมาตรา 291 เข้าสู่รัฐสภาเหมือนกระบวนการที่ผ่านมา คราวนี้หาก ฝ่ายพันธมิตร หรือ สว. พรรคประชาธิปัตย์ จะยื่นคำร้องตรวจสอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าล้มล้างการปกครองอีกก็ต้องผ่าน อัยการสูงสุด เท่านั้น “ตัดตอน” ช่องทางที่จะยื่นตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญออก
แนวทางที่สอง แก้รายมาตราแบบเผยไต๋กันตรงๆ กรณีนี้หวังผลสำเร็จได้ทันที ไม่ต้องใช้สองขยักเพื่อตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญอีก
รูปแบบนี้ ที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล ได้แสดงจุดยืนที่จะแก้ไขมาตราต่างๆ สรุปความได้ว่า ไม่เกิน 10 ประเด็น ที่มีความจำเป็นต้องแก้อย่างเร่งด่วน
แยกเป็น แก้เพื่อความคล่องตัวในการบริหาร มุ่งไปที่มาตรา 190 เพื่อผ่อนคลายให้การลงนามทำสัญญา กรอบข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับต่างประเทศ ไม่ต้องมาผ่านความเห็นชอบหรือถูกตรวจสอบจากรัฐสภาให้ยุ่งยางอีก
มาตรา 237 แก้เพื่อไม่ให้เกิดการยุบพรรคการเมืองง่ายขึ้น จากเดิมที่กำหนดว่า หากกรรมการบริหารพรรคการเมืองใดทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ให้เพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งบุคคลดังกล่าว และหากมีหลักฐานเชื่อได้ว่า หัวหน้าพรรคหรือกรรมการบริหารพรรคการเมืองมีส่วนรู้เห็น ให้ส่งเรื่องยังศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมืองนั้นและเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรค 5 ปี ประเด็นที่ต้องการแก้ไขก็เพื่อไม่ให้เอาผิดคณะกรรมการบริหารพรรคแบบเหมาเข่ง และ ไม่ต้องลงโทษถึงขั้นยุบพรรค
มาตรา 309 เป็นประเด็นที่พรรคเพื่อไทยต้องการแก้มากที่สุด บทบัญญัตินี้เขียนไว้ว่า “บรรดาการใดๆ ที่ได้รองรับไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2549 ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าวไม่ว่าก่อนหรือหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่า การนั้นและการกระทำนั้น ชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้”
เป้าหมายของการแก้หรือยกเลิกมาตรานี้ ก็เพื่อให้ผลคดีของ คตส. ที่ตรวจสอบคดีทุจริตทั้งหมดโดยเฉพาะที่ฟ้องเอาผิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนศาลฎีกานักการเมืองพิพากษา ติดคุกคดีทุจริตซื้อที่ดินรัชดา และ คดีรำรวยผิดปกติจนยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท รวมถึงคดีอื่นๆ เป็นอันโมฆะ
แก้ที่มา สว. – เปลี่ยนที่มา สว.จากเดิมเป็นลูกผสมระหว่าง สว.สรรหา กับ สว.เลือกตั้ง เป็นให้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนทั้งหมด
องค์กรอิสระ – แกนนำพรรคเพื่อไทยหลายคนออกมาแสดงความเห็นตรงกัน ทั้งให้ยุบบางองค์กร เช่น ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาโดยให้เหตุผลว่า ใช้อำนาจตรวจสอบฝ่ายการเมือง.ซ้ำซ้อนกับองค์กรตรวจสอบอื่น ส่วนองค์กรอิสระที่เหลือเช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการุทจริตแห่งชาติ ศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ต้องเปลี่ยนที่มา จากเดิม มาจากการสรรหาของ บรรดาประธานศาลต่างๆ เป็น ให้สว.เป็นผู้คัดเลือกเอง
ยังมีข้อเสนอว่า ให้ลดอำนาจ กกต.ให้มีหน้าที่เลือกตั้งไม่มีหน้าที่ให้ใบแดงใบเหลือง ส่วนศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครอง อาจให้ควบรวมมาไว้ที่ศาลยุติธรรม หากมีคดีการเมืองก็ให้ที่ประชุมศาลฎีกาเลือกองค์คณะมาตัดสินเป็นคดีๆ ไป
แนวทางแก้รัฐธรรมนูญรายมาตราอาจยังไม่เกิดภายใน 1-2 เดือนนี้ เพราะพรรคเพื่อไทยต้องใช้เวลาทำความเข้าใจกับประชาชนไม่ให้เกิดกระแสต้าน เนื่องจาก การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ นับวันมีเสียงคัดค้านค่อนข้างมาก แต่เชื่อว่า หนีไม่พ้นรูปแบบที่ได้กล่าวมาข้างต้น
ขอบคุณภาพอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จาก Little Bella : OKNATION.net
