อดีตรมช.ศธ.ชี้สุดท้ายการศึกษาต้องไปอยู่ที่ท้องถิ่น
รศ.ดร.วรากรณ์ ระบุ การจัดการศึกษาโดยท้องถิ่น ในประเทศไทยไม่ใช่เรื่องใหม่ ที่เกิดขึ้นยาก เพราะศธ.คิดว่าทำได้ดีกว่า เชื่ออปท.เข้มแข็งมีศักยภาพให้ประโยชน์กับคนท้องถิ่นได้ชัดเจน...
วันนี้ (30 พ.ย.) รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ หัวหน้าคณะทำงานปฏิรูปการศึกษาเพื่อสุขภาพภาวะคนไทย (ปศท.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ บรรยายพิเศษเรื่อง “การปฏิรูปการศึกษาเพื่อสุขภาวะของเยาวชนไทย: ท้องถิ่นจัดการศึกษาประชาชนได้อะไร” ที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ โดยชี้ให้เห็นจุดอ่อนจุดแข็งของการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)ในประเทศไทยที่เกิดขึ้นด้วยความยากลำบาก พร้อมมองว่า ในอนาคตการจัดการศึกษาโดยท้องถิ่น เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
รศ.ดร.วรากรณ์ กล่าวว่า การจัดการศึกษาโดยท้องถิ่น สำหรับในประเทศไทยไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เกิดขึ้นด้วยความยากลำบาก เพราะกระทรวงศึกษาธิการคิดว่าตนเองทำได้ดีกว่า มีเครือข่ายและระบบการบริหารงานที่ใหญ่ มี 185 เขตการศึกษา มีงบประมาณ 3 แสนล้านบาท มากที่สุด
“ทางกลับกันการจัดการศึกษาของอปท. มีลักษณะพิเศษกว่าการจัดการศึกษาโดยรวม ท้องถิ่นอยู่ใกล้ประชาชน รู้ความต้องการของโรงเรียนได้ดีกว่า มีความรับผิดรับชอบ ให้ประโยชน์กับคนท้องถิ่นได้ชัดเจนกว่า ที่สำคัญความปรารถนาของคนในท้องถิ่น เป็นธรรมชาติที่ต้องการให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูกหลานตัวเอง ขณะที่ส่วนกลางแม้จะอยากให้เด็กได้ดี แต่ก็ไม่เหมือนกับลูกหลานตัวเองในท้องถิ่น”รศ.ดร.กล่าว
สำหรับจุดแข็งของการจัดการศึกษาของอปท. หัวหน้าคณะทำงาน ปศท. กล่าวว่า ด้วยความที่โรงเรียนมีขนาดเล็ก จำนวนโรงเรียนต่างๆ ที่ต้องดูแลมีจำนวนน้อยกว่าเขตพื้นที่การศึกษา ทำให้การบริการมีประสิทธิภาพสามารถจัดการหลักสูตรสะท้อนความต้องการของท้องถิ่นได้ดีกว่า และมีทรัพยากรท้องถิ่นสนับสนุน ทั้งเงินอุดหนุนจากภาษีโรงเรือนและที่ดิน ภาษีบำรุงท้องที่ หรือคนที่อยู่ในท้องถิ่นที่ร่วมสนับสนุน ที่สำคัญเห็นผลกลับมาจากการดำเนินงานได้ชัด เร็วกว่า
รศ.ดร.วรากรณ์ กล่าวว่า จุดอ่อนของอปท. แต่ละแห่งมีทรัพยากรไม่ทัดเทียมกัน มีระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจไม่เหมือนกัน บางแห่งมีทรัพยากรมากก็ได้รับเงินอุดหนุนมาก ส่งผลให้คุณภาพและมาตรฐานโรงเรียนแตกต่างกัน ในอนาคตหากทำให้เป็นโรงเรียนของอปท.ได้แล้ว ปัญหาที่ต้องแก้ไขคือทำอย่างไรให้มาตรฐานโรงเรียนมีคุณภาพใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะความต่อเนื่องการสนับสนุนการศึกษาท้องถิ่น ที่เชื่อมโยงกับการเมือง นายกอบจ. นายกเทศมนตรี ต้องเห็นความสำคัญของการศึกษา มิเช่นนั้นเมื่อเปลี่ยนทีม มองเห็นเรื่องการศึกษาแตกต่างกันไป ที่ทำไว้อาจจะสูญเปล่า
นอกจากนี้ หัวหน้าคณะทำงาน ปศท. กล่าวว่า ระบบการศึกษาของไทย มีจุดอ่อน 4 จุด คือ 1.สังคมบอกว่า การศึกษาคือหัวใจสำคัญ เป็นสิ่งที่มีปัญหามาก แต่ขณะเดียวกันความต้องการเหล่านั้น กลับไม่สามารถถ่ายทอดแปรมาเป็นความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวที่ไม่เปลี่ยนแปลงของการศึกษาไทยได้ เห็นได้จากการเปลี่ยนรัฐมนตรีและนโยบายควบคู่กันไปเสมอ ถือเป็นเวรกรรมของการศึกษาไทย ที่ไม่มีรัฐมนตรีที่มีความสามารถที่อยากจะมาดำรงตำแหน่งนี้
"ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีรมว.ศึกษาธิการมาแล้ว 12 คน เฉพาะปี 2551 เปลี่ยนมาแล้ว 4 คน แต่ละคนก็มีนโยบายของตัวเอง ไม่อยากทำซ้ำเหมือนกับคนก่อน กลายเป็นระบบการศึกษาไทยเดินไป 5 ก้าว ถอยไป 4 ก้าว เดินไป 1 ก้าว ความมุ่งมั่นและต่อเนื่องไม่มี” รศ.ดร.วรากรณ์ กล่าว และว่า 2.เรื่องการปกครอง เป็นปัญหาใหญ่ รัฐบาลไม่สามารถย้ายโอนครูได้ตามใจชอบ หรือจัดสรรแบ่งครูได้เหมือนกระทรวงมหาดไทย อัยการ ทำให้ปัญหาขาดแคลนครูรุนแรงในบางพื้นที่ และเกินจำนวนมากในบางพื้นที่ ในที่สุดก็ไม่สามารถทำอะไรได้ 3.คุณภาพครู จุดเปลี่ยนอยู่ที่ปี 2521 ที่มีการถ่ายโอนโรงเรียนขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ปรากฎครูเพิ่มขึ้นมาก จบปวช. ปวส. จนกระทั่งทำให้ 10 ปีข้างหน้าจะมีครูเกษียณอายุ 2 แสนคน และ 4.คุณภาพคนไทยไม่สอดคล้องโครงสร้างการจัดการที่ตั้งใจเป็นประชาธิปไตยที่ดี เกิดการเมืองในระดับครูอย่างรุนแรง การเลือกคน การแต่งตั้งคน เป็นเรื่องของการเมือง ขณะที่คุรุสภา 10 ปีที่ผ่านมาไม่ได้ทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องจริยธรรมของครู หรือเรื่องมาตรฐานวิชาชีพเลย