14 ร.ร.นำร่องระดมสมองออกแบบหลักสูตรตามมาตรฐานสากล
วันนี้(23 ก.พ.) สำนักบริหารงานการมัธยมศึกษาตอนปลาย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง“โครงการการพัฒนาประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการศึกษาในภูมิภาค (Education Hub)” ระหว่างวันที่ 23-26 ก.พ. ณ โรงแรมริเวอร์ไซด์ ถ.ราชวิถี กรุงเทพฯ โดยมีนายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เป็นประธานมอบนโยบายและแนวคิดในการดำเนินกิจกรรมโครงการฯ ให้ที่ประชุม ซึ่งมีตัวแทนผู้บริหารและครูจาก 14 โรงเรียนนำร่องโครงการพัฒนายกระดับคุณภาพโรงเรียนไทยสู่โรงเรียนมาตรฐานสากล (World-Class Standard School) ร่วมประชุมวางแผนหลักสูตรการสอนและออกแบบสื่อการสอนเพื่อใช้เป็นแนวทางสำหรับจัดตั้งโรงเรียนมาตรฐานสากลที่จะเกิดขึ้นตามเป้าหมายในปี 2555 จำนวน 500 แห่งทั่วประเทศ
นายชินภัทร กล่าวถึงการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการศึกษาในภูมิภาคว่า มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างโรงเรียนที่มีมาตรฐานสากล ทั้งด้านครู นักเรียน การเรียนการสอนที่เน้นการใช้งานไอซีที และการบริหารจัดการโรงเรียนอย่างเป็นระบบ และเพื่อผลักดันให้โรงเรียนในประเทศไทยเป็นโรงเรียนศูนย์กลางของกิจกรรมทางการศึกษาในภูมิภาคนี้ได้ เพื่อรองรับการศึกษาของเด็กไทยและเด็กต่างชาติที่มาศึกษาในประเทศไทย สำหรับยุทธศาสตร์สำคัญ คือ การพยายามเริ่มสร้างโรงเรียนมาตรฐานสากลจาก 14 โรงเรียนนำร่องที่มีความพร้อมและจะขยายสู่อีก 500 โรงเรียนทั่วประเทศเพื่อเป็นศูนย์กลางการศึกษาแห่งภูมิภาค เนื่องจากการพัฒนาโรงเรียนทั้ง 30,000 กว่าแห่งทั่วประเทศพร้อมกันอาจเป็นเรื่องยาก
“ เป้าหมายของการพัฒนาเป็นโรงเรียนมาตรฐานสากลจะไม่มุ่งเน้นสร้างให้ทุกโรงเรียนมีความโดดเด่นลักษณะเดียวกันทั้งหมด แต่ละโรงเรียนต้องมีมาตรฐานสากลตามเกณฑ์ในรูปแบบของตน คือ เป็นโรงเรียนมาตรฐานสากลหรือโรงเรียนนานาชาติที่ต้องมีความเป็นไทย ในส่วนของสพฐ.จะเชื่อมโยงกับส่วนอุดมศึกษาด้วยเพื่อให้เป้าหมายการขับเคลื่อนเป็นไปได้ง่ายขึ้น”
เลขาธิการสพฐ. กล่าวด้วยว่า ภายในปี 2555 โรงเรียนเป้าหมายต้องมีการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ ครูและนักเรียนต้องมีการเรียนการสอนโต้ตอบเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งเรื่องนี้ผู้บริหารต้องสร้างเงื่อนไขกระตุ้นให้ครูนำศักยภาพออกมาใช้ พร้อมทั้งเชื่อว่าครูไทยมีศักยภาพเพียงพออย่างน้อยก็จบปริญญาตรีหรือปริญญาโทจำนวนมาก และเรียนภาษาอังกฤษมากว่า 12 ปี จึงไม่จำเป็นต้องจ้างครูต่างชาติมาสอน แต่อาจต้องจัดให้ครูในโรงเรียนไปดูงานต่างประเทศบ้าง รวมถึงการนำนักเรียนแลกเปลี่ยนกับโรงเรียนในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สิงคโปร์ เป็นต้น
สำหรับโรงเรียนมาตรฐานสากลที่จะเกิดขึ้นยึดแนวคิด “ยอดเยี่ยมวิชาการ, สื่อสารได้อย่างน้อย2ภาษา,มีความคิดที่ล้ำหน้า,ผลิตผลงานที่สร้างสรรค์ และต้องร่วมกันรับผิดชอบสังคมโลก” ประกอบด้วย 5 คุณลักษณะ คือ 1.มีหลักสูตรการสอนเทียบเคียงมาตรฐานสากล คือ หลักสูตรวิชาต่างๆ ต้องมีเนื้อหาเข้มขึ้น เช่น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษา อาชีพ ดนตรี กีฬา และต้องจัดให้มีกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนในด้านทฤษฎีองค์ความรู้(Theory of knowledge), การเขียนความเรียงชั้นสูง(Extended Essay), โลกศึกษา(Global Education) และการสร้างโครงงาน(Creative Project Work) 2.กลุ่มการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ต้องพัฒนาการสอนโดยใช้ภาษาอังกฤษ
3.ครูผู้สอนต้องมีการสอนทั้งสองภาษาคือ ภาษาไทยและอังกฤษ รวมถึงต้องมีการพัฒนาครูผู้สอนในวิชาภาษาที่2 ร่วมกับศูนย์ภาษาต่างประเทศที่ 2 ด้วย 4.ระบบบริหารจัดการและผู้บริหารที่มีคุณภาพ ต้องจัดทำแผนกลยุทธ์การเป็นโรงเรียนมาตรฐานสากล และพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาโรงเรียนละ 5 คน เพื่อสร้างผู้บริหารสถานศึกษาที่มีมาตรฐานสากล 2,500 คน ที่มีความสามารถทั้งภาษาอังกฤษและการใช้ไอที และ5.ผู้เรียนจะต้องมีความเป็นเลิศทางวิชาการ, สื่อสารสองภาษาได้ดี และมีกระบวนการคิดและสามารถผลิตผลงานการศึกษาที่สร้างสรรค์โดยคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมได้
ในการประชุมครั้งนี้มี 14 โรงเรียนนำร่องที่เป็นตัวอย่างจัดการเรียนการสอนมีมาตรฐานสากลและพร้อมในการเป็นศูนย์กลางการศึกษาภูมิภาค ได้แก่ โรงเรียนโยธินบูรณะ กทม., ยุพราชวิทยา, โพธิสัมพันธ์พิทยาคาร จ.ชลบุรี, สตรีภูเก็ต, ปทุมเทพวิทยาคาร จ.หนองคาย, จุฬาภรณราชวิทยาลัย จ.มุกดาหาร, พิชัยรัตนาคาร จ.ระนอง,จุฬาภรณราชวิทยาลัย จ.สตูล, แม่สายประสิทธิ์ศาสตร์ จ.เชียงราย, ประสาทวิทยาคาร จ.สุรินทร์, กันทรลักษ์วิทยา จ.ศรีษะเกษ, นารีนุกุล จ.อุบลราชธานี, หาดใหญ่รัฐประชาสรรค์ จ.สงขลา และโรงเรียนสรรพวิทยาคม จ.ตาก
ส่วนเป้าหมายการยกระดับคุณภาพโรงเรียนที่มีความพร้อมเป็นโรงเรียนมาตรฐานสากลนั้น ในปี 2553 และ 2554 ตั้งเป้ายกระดับปีละ 200 โรงเรียน และปี 2555 อีก 100 โรงเรียน แบ่งเป็นโรงเรียนระดับประถมศึกษา 119 โรงเรียนและโรงเรียนมัธยมศึกษา 381 โรงเรียน