ว.วชิรเมธี ชี้สังคมไทยขาดเสาหลักค้ำยันให้สังคม
เหตุการศึกษาที่มุ่งสร้างเครือข่าย ทำให้ปัญญาชนสาธารณะแทบไม่มีบทบาทเตือนสติสังคม กลายเป็นสังกัดเครือข่ายเดียวกันกับการเมือง ธุรกิจ ส่วนผู้ที่เคยออกมาเป็นห้ามล้อในอดีต ปัจจุบันก็เปียกมอมแมมจนไม่มีใครสามารถเตือนสติใครได้อีก
วันนี้ (24 ก.พ.) พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตยาลัย กล่าวในงานสัมมนาพิเศษเรื่อง “การบริหารการศึกษาเพื่อพัฒนาเด็กไทยให้ เก่ง ดี มีสุข”จัดโดย ภาควิชาการบริหารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ณ หอประชุม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ถนนสุขุมวิท ถึงวิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทยว่า เกิดจากอาการผิดสำแดงของสังคมไทย ทั้งหมดมาจากเรื่องการศึกษาทั้งสิ้น
พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี กล่าวว่า ดูจากหน้าหนังสือพิมพ์ไทยทุกวันนี้เต็มไปด้วยความวุ่นวาย เป็นภาวะไร้ระเบียบที่จับต้นชนปลายไม่ถูก โดยเฉพาะวิกฤตการทางด้านการเมือง สิ่งเหล่านี้ถือเป็นอาการผิดสำแดงของสังคมไทย ซึ่งมาจากปัญหาของการศึกษาไทย เช่น เรามีทัศนคติโกงกันได้ขอให้แบ่งกัน หรือโกงเป็นเรื่องธรรมดา โกงถูกจับได้เป็นเรื่องผิดปกติ
"ปัญหาเรื่องการศึกษาไทยในหลายทศวรรษ จำแนกได้ตั้งแต่มุ่งวิชาหนังสือ หลงลืมวิชาชีวิต ท่านพระพุทธทาสจึงเปรียบการศึกษาเหมือนหมาหางด้วน,มุ่งทำมาหากิน จนลืมมุ่งทำมาหาธรรม,มุ่งจำเนื้อหามากเกินความจำเป็น ทำให้ช่องว่างทางความคิดไม่มี ไม่เหลือเนื้อที่ให้เด็กจินตนาการ การศึกษาไทยจึงไม่มีความสุข,มุ่งสอบมากเกินไป แทนจะเป็นเรื่องของกระบวนการ,มุ่งปริญญามาเสริมอัตตา,มุ่งเครือข่าย มากกว่าการใฝ่เรียนใฝ่รู้,มุ่งเรียนปรับวุฒิมากกว่าปรับตัว,มุ่งตอบสนองธุรกิจของชาติมากกว่ามุ่งสร้างสรรค์พัฒนาสังคม และระบบการศึกษาเป็นปัญหาเสียเองมากกว่าแก้ปัญหา"
ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตยาลัย กล่าวถึงการศึกษาที่มุ่งเครือข่ายไม่ได้หาความรู้ เพราะไปมุ่งคอนเนคชั่นโยงทำงานการเมือง การทำธุรกิจ ผลก็คือ การศึกษาเพื่อหาเครือข่ายจะไปเอื้อระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทยในเวลาต่อมา ซึ่งการศึกษาที่ไม่มีความเป็นไทยในทางวิชาการนี้ก็ไม่ใช่สดมภ์หลักของประเทศชาติอีกต่อไปแล้ว เพราะนักการศึกษาหรือนักวิชาการเองก็ไปอยู่ในวังวนแวดวงผลประโยชน์ แล้วอะไรจะมาเป็นเสาหลักค้ำยันให้สังคม ดังนั้นในรอบหลายปีที่ผ่านมาเราจะเห็นได้ชัดว่า ปัญญาชนสาธารณะแทบไม่มีบทบาทในการเตือนสติสังคม เบรคสังคม คนที่ทำหน้าที่ให้สติหายไป เนื่องจากระบบการศึกษา ระบบผลประโยชน์ ระบบการเมืองเชื่อมโยงกัน กลายเป็นระบบเครือข่ายเดียวกัน ไม่มีใครเตือนใคร เพราะต่างคนก็ต่างสังกัดเครือข่ายผลประโยชน์เดียวกัน เป็นเรื่องที่น่าสะเทือนใจมาก ที่การศึกษารับใช้ผลประโยชน์ การเมือง มุ่งเครือข่ายมากกว่าใฝ่รู้ใฝ่สร้างสรรค์
"การศึกษาไทยที่ผ่านมาทำให้เกิดภาวะผิดสำแดงทางการศึกษา ผลิตบุคลากรมีปัญหามาก การจัดการศึกษาแบบนี้ได้พรากเอาความเป็นเลิศทางวิชาการไป พรากเอาความสนุก จิตนาการ จิตสำนึกสาธารณะไป พรากจริยธรรมจากพวกเรา คนไทย ผลสัมฤทธิ์ คือ บ้านเมืองเต็มไปด้วยปัญหายากมากที่จะมีใครเตือนใคร ต่างคนต่างถูกดูดเข้าในศูนย์กลางของปัญหา"พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี กล่าว และว่า เราเคยคิดบ้างหรือไม่ว่า ทุกครั้งที่มีปัญหาในสังคมไทยอย่างน้อยก็จะมีราษฎรอาวุโส องคมนตรี พระเถระชั้นผู้ใหญ่ คอยออกมาเป็นห้ามล้อเตือนสติสังคม แต่รอบหลายปีที่ผ่านมาทุกคนเปียกมอมแมมไปหมดไม่มีใครสามารถเตือนสติให้กับใคร เพราะระบบการศึกษาไทยฝึกเรามา ทุกภาคส่วนเป็นองค์ร่วมที่เป็นปัญหา
พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี กล่าวด้วยว่า การศึกษาได้สร้างคนให้มีบุคลิกลักษณะแบบสมองโต ใจตีบ เชื่อมากคิดน้อย เห็นแก่ตัวไม่เห็นแก่ส่วนรวม ทิ้งธรรมบูชาเงิน มากไปด้วยความเชื่อ ไม่มีความสุข หนักไปทางสะเดาะเคราะห์ มากกว่าคิดเชิงวิเคราะห์ถนัดเป็นผู้ตามมากกว่าเป็นผู้นำ ที่ร้ายที่สุด คนไทยขาดความกล้าหาญทางจริยธรรม ชอบทำตัวเป็นพลังเงียบ ซ้ายก็ไม่เอา ขวาก็ไม่เอา เหลืองก็ไม่เอา แดงก็ไม่เอา ขอเดินทางสายกลางหรือเรียกว่าพวกชอบแทงกั๊ก นี่คือระบบการศึกษาที่เราต้องยอมรับของสังคมไทยแต่ไม่ใช่ทั้งหมด
ขณะที่ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ผู้บริหารสูงสุดของโรงเรียนสัตยาไส กล่าวถึงการศึกษาไทยว่า ล้มเหลวมาโดยตลอด มุ่งสร้างแต่คนเก่งขึ้นมา พร้อมตั้งคำถามว่า คนเก่งใช่หรือไม่ที่สร้างแต่ปัญหาให้กับสังคมของเราทุกวันนี้คนเก่งทะเลาะกัน เถียง แย่งชิงอำนาจ สร้างปัญหามากมาย ดังนั้นเราต้องเปลี่ยนระบบการศึกษามาสู่วิชาศึกษาชีวิตด้วยต้องสอนให้เด็กรู้จักคิด วิเคราะห์ด้วยตัวเองไม่ต้องสอนมาก แต่ให้เด็กมีความสุขในชีวิต เพราะทุกวันนี้คนมีความเครียด จึงต้องสอนให้เด็กมีความสุขให้ได้
"ขณะที่ผู้บริหารทางการศึกษา คือต้นแบบสิ่งที่ปรารถนาให้เด็กเป็น ผู้บริหารคือผู้นำ ต้องนำทางไม่ใช่สั่งอย่างเดียว ต้องเดินไปก่อนแล้วก็บอกให้เดินตามมา ก็จะง่ายในการบริหารการศึกษา"