ปฏิรูปการศึกษารอบ2 ต้องสำเร็จ ไม่มีรอบหน้าอีก
นายกฯ ย้ำชัดหากปฏิรูปฯรอบนี้ล้มเหลวอีก คนจะไม่เชื่อถือ วางเป้าอีก8 ปี เด็กไทยต้องมีผลคะแนนสัมฤทธิ์ทางการเรียนในทุกวิชาไม่ต่ำกว่าร้อยละ 55 พร้อมเดินหน้าตั้ง “สสส.ทางการศึกษา” หน่วยงานอิสระขับเคลื่อนปฏิรูปการศึกษาเต็มกำลัง
ผู้สื่อข่าวรายงานวานนี้ (6 มี.ค.) ว่า กระทรวงศึกษาธิการจัดประชุม “สมัชชาขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง” ระหว่างวันที่ 6-7 มี.ค. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อเปิดตัวและระดมความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการปฏิรูปการศึกษาในประเด็นต่างๆ โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดประชุมและปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “แนวทางการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง (พ.ศ.2552-2562)” พร้อมด้วยนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) และผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมกว่า 3,000 คน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า วันนี้โลกไม่หยุดรอประเทศไทย ความท้าทายวันนี้คนไทย สังคมไทยต้องมีขีดความสามารถในการเรียนรู้ที่ดีขึ้นซึ่งก็คือการศึกษา สำหรับแนวทางการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง จะต้องตั้งเป้าหมายตัวเลขออกมาให้โปร่งใส ประเมิน ตรวจวัดได้ เพื่อจะได้รู้ตลอดเวลาว่าเราทำงานสำเร็จหรือไม่ การปฏิรูปต้องมีจุดสิ้นสุด ถ้าปฏิรูปกันไม่จบสิ้นถือว่าเป็นความล้มเหลว และหากการปฏิรูปนี้ไปกระทบกระเทือนประโยชน์ส่วนใดของใครบ้างก็ต้องยอมสละ
"ภายในปี 2561 เด็กนักเรียนไทยต้องมีผลคะแนนสัมฤทธิ์ทางการเรียนในสาระวิชาหลักทุกวิชาไม่ต่ำกว่าร้อยละ 55 ยอมรับว่าตัวชี้วัดต่างๆ นี้ เป็นเรื่องยากที่จะประสบความสำเร็จ เพราะ10 ปีที่ผ่านมาหลายเรื่องต้องต่อสู้กับค่านิยม สังคม และการเมือง แต่เชื่อว่าเราคงจะไม่มีโอกาสได้ปฏิรูปกันอีกในรอบ 3 หรือ 4 หากรอบนี้ไม่สำเร็จคงจะไม่มีใครเชื่อที่จะร่วมปฏิรูป” นายกรัฐมนตรี กล่าว และว่า การประชุมคณะกรรมการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง(กนป.)ทั้งสองครั้งที่ผ่านมา ได้มีมติว่าจะต้องมีตัวชี้วัดหรือบ่งชี้ผลการดำเนินการปฏิรูปอยู่เป็นระยะ เพื่อคอยตรวจสอบและสะท้อนการปฏิรูปว่ายังมีแนวทางไปสู่เป้าหมายได้หรือไม่ ดำเนินการช้าหรือเร็วเพียงใด ต้องกำหนดเกณฑ์ให้ชัดเจน
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า การปฏิรูปรอบนี้จะมีตัวช่วยใหม่เกิดขึ้น คือ สสส.ทางการศึกษา โดยหลักการของสสส.ทางการศึกษาจะเป็นหน่วยงานอิสระได้รับเงินอุดหนุนจากทางรัฐบาล เพื่อนำไปใช้อุดหนุนให้ภาคประชาสังคมที่เข้ามาสนับสนุนทางการศึกษาสามารถนำไปขับเคลื่อนดำเนินงานต่างๆ ได้ ในทุกภาคส่วน ทุกพื้นที่ของประเทศ
“เราไม่มีเวลาพอที่จะสูญเสียเพิ่มกับสิ่งที่เป็นความผิดพลาดในอดีต เราคงไม่มีเวลาพอที่จะมาตั้งต้นถกเถียงหลักการพื้นฐานหลายอย่าง เพราะความจริงเราเห็นพ้องกันตั้งแต่ปี 2542 แล้ว หัวใจสำคัญของการปฏิรูปรอบนี้ คือ การทำให้หลักการที่ดีทั้งหลายสามารถปฏิบัติได้จริง เดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ วัดผลและต้องได้ในลักษณะที่เป็นประโยชน์ต่อเด็กและเยาวชนอนาคตของชาติได้จริง ฉะนั้นโจทย์วันนี้ต้องใกล้ชิดกับแนวปฏิบัติให้มากขึ้น ต้องเห็นผลรูปธรรมเมื่อการปฏิรูปรอบนี้สิ้นสุดลง ซึ่งการปฏิรูปรอบนี้ต้องไปสู่ผลสำเร็จจริง” นายกรัฐมนตรี กล่าว
ด้านนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศธ. กล่าวว่า การปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สองนี้มีวิสัยทัศน์ คือ คนไทยทุกคนต้องได้เรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ โดยภายในปี 2561 การศึกษาไทยต้องมีการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ การพัฒนาคุณภาพ-มาตรฐานการศึกษาและการเรียนรู้ของคนไทย, การเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้เรียนรู้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนสังคมในการบริหารจัดการศึกษา ที่สำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาครั้งนี้จะจัดให้มีองค์กรภาคเอกชนที่เรียกว่า สสส.ทางการศึกษา เพื่อจะมาร่วมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาให้สู่เป้าหมายตามที่กำหนดไว้