อธิการบดีจุฬาฯแนะมหาวิทยาลัยเลิกแข่งขันแบบเอาเป็นเอาตาย
ศ.นพ.ภิรมย์ เผยอยากเห็นการแข่งขันของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยเป็นแบบกัลยาณมิตร และช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ขณะที่ รองอธิการฯ มธบ. ซัดมหาวิทยาลัยไทยไร้จิตวิญญาณ ปั้นคนให้แค่เรียนจบมีงานทำ ไม่สนวิจัย-เน้นธุรกิจ
เมื่อเร็วๆ นี้ ในเวทีสัมมนา “การขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยไทยสู่มหาวิทยาลัยระดับโลก” ณ ห้องประชุมอาคารประชุมสุข อาชวอำรุง คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดโดยคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ศ.นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงจุดยืนของจุฬาฯ คือ การเป็นมหาวิทยาลัยของแผ่นดินในระดับโลก (World Class National University) ด้วยการวิจัยและช่วยเหลือสังคม โดยจะคำนึงถึงผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยในระดับโลก (World University Ranking) แต่ไม่ยึดทุกเกณฑ์ในการจัดอันดับ หากเกณฑ์ใดไม่ก่อให้ประโยชน์แก่ประเทศและสังคม จุฬาฯ จะไม่ยอมตกเป็นเหยื่อ ด้วยปัจจุบันการจัดอันดับกลายเป็นการค้าโดยสมบูรณ์แบบไปแล้ว
อธิการบดีจุฬาฯ กล่าวว่า แม้การจัดอันดับมหาวิทยาลัยจะช่วยสร้างบรรยากาศการแข่งขัน กระตุ้นให้มหาวิทยาลัยตื่นตัวพัฒนาในด้านต่างๆ เป็นการให้ข้อมูลเชิงเปรียบเทียบระหว่างมหาวิทยาลัย เพื่อให้ทราบจุดเด่นและจุดด้อยของแต่ละแห่ง แต่ก็ยังอยากเห็นการแข่งขันของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยเป็นแบบกัลยาณมิตร (Cooperative) ไม่ใช่การแข่งขันในลักษณะเอาเป็นเอาตาย ควรช่วยปรับปรุงซึ่งกันและกันและการขับเคลื่อนเป็นสิ่งจำเป็น ขณะที่รัฐต้องมาร่วมไม่ใช่ปล่อยให้มหาวิทยาลัยต่างๆ ทำกันเอง รัฐต้องส่งเสริมให้มหาวิทยาลัยต่างๆ ร่วมแข่งขันพัฒนาในลักษณะกัลยาณมิตรที่เกื้อกูลกัน
ด้านดร.ไพฑูรย์ สินลารัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวถึงแนวทางการขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยไทย ว่า ที่ผ่านมาและปัจจุบันมหาวิทยาลัยต่างๆ ไม่สนใจการสร้างนักศึกษาเฉพาะวิชาชีพ มหาวิทยาลัยบางแห่งไม่ให้ความสนใจการวิจัย เรียนรู้ การพัฒนาสนใจเพียงเชิงเทคนิค วิชาการ ไม่นึกถึงความเป็นจิตวิญญาณของมหาวิทยาลัยของตนเอง โดยมุ่งเพียงให้นักศึกษาเรียนจบแล้วมีงานทำ ซึ่งความคิดเช่นนี้ไม่เพียงพอสำหรับความเป็นมหาวิทยาลัยโดยเฉพาะการไปสู่มหาวิทยาลัยระดับโลก
“มหาวิทยาลัยไม่ได้เติบโตอย่างเป็นอิสระในสังคม มุ่งพัฒนาตัวเอง แต่ไม่คิดถึงการพัฒนาสังคม ส่วนการบริหารงานมหาวิทยาลัยยังเน้นเชิงธุรกิจให้ตนเองอยู่รอด ไม่คิดเรื่องการส่งเสริมอาจารย์ผู้สอนให้พัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ และมหาวิทยาลัยไทยยังไร้ทิศทางในการที่จะไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยระดับ”รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าว
ขณะที่ศ.ดร.ศุภชัย ยาวประภาษ ผู้อำนวยการศูนย์ภูมิภาคแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่าด้วยการอุดมศึกษาและการพัฒนา (SEAMEO RIHED) กล่าวว่า ลักษณะสำคัญประการหนึ่งของมหาวิทยาลัยในระดับโลกนั้นจะต้องมีความเป็นเลิศเฉพาะด้านของแต่ละแห่ง (Elite University) มีการวิจัย มีผลงานทางวิชาการตีพิมพ์ และต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม (University Social Responsibility:USR) ด้วย ซึ่งรัฐไม่ควรให้มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งมีบทบาทหน้าที่เฉพาะที่เหมือนกัน เช่น จุฬาฯ ก็มีบทบาทวิจัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมและเกษตร ฯลฯ
ส่วนรศ.ดร.วันชัย ดีเอกนามกูล กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการดำเนินงานโครงการพัฒนามหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กล่าวว่า การวิจัยและ USR ที่มหาวิทยาลัยต่างๆ ต้องทำเพื่อรับผิดชอบต่อสังคมนอกเหนือจากด้านวิชาการจะสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น มหาวิทยาลัยไทยต้องมีทิศทางแห่งการเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติสู่การเป็นมหาวิทยาลัยระดับโลก เน้นและให้ความชัดเจนในงานวิจัยให้มากกว่าปัจจุบัน
ขณะเดียวกันดร.สุชาติ ตันธนะเดชา อดีตอาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การจะไปสู่มหาวิทยาลัยระดับโลกได้นั้น มหาวิทยาลัยไทยจะต้องมีห้องสมุดที่เพียงพอเหมาะสมแก่การเรียนรู้อย่างกว้างขวาง, ต้องมีอาจารย์ผู้สอนที่มีจิตวิญญาณซึ่งเปรียบเสมือนชีพจรของมหาวิทยาลัย, ต้องไม่มุ่งเพียงยึดการติดอันดับมหาวิทยาลัยโลกโดยอาศัยใช้วิธีการประเมินแบบผักชีโรยหน้า แม้ผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกมีความสำคัญต่อการไปสู่มาตรฐานสากล แต่ผลอันดับนั้นต้องตรงตามสภาพจริงด้วย และสุดท้ายทุกสิ่งที่มหาวิทยาลัยทำต้องได้ประโยชน์ต่อประเทศชาติ
ปัจจุบันมีมหาวิทยาลัยที่ประกาศตัวเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ 9 แห่ง(National Research University: NRU) จากจำนวนมหาวิทยาลัยทั้งหมด 165 แห่งทั่วประเทศ ดังนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี