ชาวบ้านร้องกสม. กรมอุทยานฯรังแกคนจนด้วยคดีโลกร้อน
เครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ แฉอุทยานฯ รังแกชาวบ้าน แจ้งข้อหาบุกรุกที่ดิน ซ้ำคิดค่าเสียหายทำลายป่า เจอไป 30 ราย ยอดรวม 17 ล้าน นพ.นิรันดร์ เตรียมหารือนักวิชาการเพื่อหาทางออก
วันที่ 9 พฤศจิกายน เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย (คปท.) เข้าหารือถึงกรณีการฟ้องร้องเป็นคดีต่อศาลปกครอง (คดีโลกร้อน) กับคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติด้านสิทธิชุมชน นำโดยนายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ประธานอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติด้านสิทธิชุมชน ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ศูนย์ราชการฯ ถนนแจ้งวัฒนะ
นางสาวสมจิต คงทน ตัวแทน คปท. กล่าวถึงการเข้ามาขอความช่วยเหลือกับ กสม. ว่า มีเป้าหมายให้ทาง กสม. นำเสนอความคิดเห็นต่อศาลปกครอง ในเหตุทุกข์ร้อนของชาวบ้านอันประกอบไปด้วย 2 ประเด็นหลัก คือ การบุกรุกที่ดินป่าสงวน และการใช้แบบจำลองประเมินค่าเสียหายทางสิ่งแวดล้อมของทางกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ซึ่งเฉลี่ยในกรณีที่เป็นป่าต้นนำคิดเป็นจำนวนเงิน 150,000 บาทต่อไร่ ในขณะที่ป่าพื้นที่ท้ายน้ำคิดเป็นจำนวนกว่าเงินกว่า 68,000 บาทต่อไร่
สำหรับป่าต้นน้ำนั้น กรมอุทยานฯ ได้กำหนดไว้ว่าจะไม่มีการผ่อนปรนแต่อย่างใด เพราะถือว่าเป็นการทำลายแหล่งกำเนิดป่าไม้โดยตรง ซึ่งมีหลักเกณฑ์ ที่ใช้การคิดคำนวณค่าเสียหายจากชาวบ้านนั้นมีทั้งหมด 7 ประการคือ 1.การสูญหายของธาตุอาหาร 4,064.15 บาทต่อไร่, 2.ทำให้ดินไม่ดูดซับน้ำฝน 600 บาทต่อไร่, 3.ทำให้น้ำสูญเสียออกไปจากพื้นที่โดยการแผดเผาของรังสีดวงอาทิตย์ 52,800 บาทต่อไร่, 4.ทำให้ดินสูญหาย 1,800 บาทต่อไร่, 5.ทำให้อากาศร้อนมากขึ้น 45453.45 บาทต่อไร่, 6.ทำให้ฝนตกน้อยลง 5,400 บาทต่อไร่ และ 7.มูลค่าความเสียทางทางตรงจากป่าทั้งสามชนิดซึ่งคิดเฉลี่ยเป็นจำนวนเงิน 40825.10 บาทต่อไร่ ซึ่งคิดค่าเสียหายเป็น 150,000 บาทต่อไร่ ต่อปี
นางสาวสมจิต กล่าวต่อว่า คดีความที่ทาง คปท. ได้เข้าไปช่วยเหลือนั้น มีทั้งสิ้น 34 คดี ซึ่งมีจำนวนผู้ถูกฟ้องร้อง 234 คน หากในส่วนของคดีที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืชเรียกค่าเสียหายโลกร้อนกับสมาชิก คปท. นั้นมีทั้งสิ้น 15 คดี เป็นจำนวนผู้ถูกฟ้อง 30 ราย ซึ่งเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 17 ล้านบาท
“การกระทำของกรมอุทยานฯ เป็นการเหลื่อมล้ำทางมนุษยชน เพราะชาวบ้านบางพื้นที่อยู่กินกับป่ามาก่อนที่จะถูกประกาศเป็นป่าสงวน ดังนั้นสิ่งที่เรามาเรียกต่อกับ กสม. นั้นเพียงแค่ให้เกษตรรายย่อยเหล่านี้กลับทำมาหากินในพื้นที่ของตนได้ดังเดิม” นางสาวสมจิต กล่าว
ทางด้าน นายแพทย์นิรันดร์ กล่าวถึงการดำเนินงานในขั้นต้นของทาง กสม. นั้นจะต้องเข้าไปศึกษาตรวจสอบการใช้อำนาจของกรมอุทยานฯ เสียก่อน เช่น การใช้ พ.ร.บ. ที่ไม่สอดคล้องกับกฏหมายรัฐธรรมนูญ ในกรณีการประกาศพื้นที่ป่าสงวน เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็น คำตอบชั้นปฐมภูมิได้ว่า ภาครัฐละเมิดสิทธิชุมชนอะไรบ้าง หลังจากนี้ต้องมีการขอความเห็นจากนักวิชาการที่เกี่ยวข้อง เพื่อเข้ามาศึกษาและทำความเข้าใจในภาคส่วนของกรณีที่กรมอุทยานฯ เรียกเก็บค่าเสียหายดังกล่าว และกรณีการทำผลวิจัยของชุมชนให้ถูกต้องและน่าเชื่อถือ เพื่อเป็นหลักในการร้องเรียนกับศาลปกครองต่อไป