ดร.คณิต เปรียบการบริหารงาน ยธ.ไทย เหมือนรง.ผลิตสินค้า
เป็นระบบสายพาน คดีสัพเพเหระ ไม่เป็นเรื่องเป็นราว ก็ขึ้นสู่ศาล จนนักโทษล้นคุก “คณิต ณ นคร” เปิดตำราสอนมองย้อนกลับ รีบปรับปรุงมาตรการบังคับทางอาญา ให้มีมาตรการอื่นๆ ร่วม เช่น สั่งไม่ฟ้อง ชะลอการฟ้อง หรือใช้ยุติธรรมเชิงสมานฉันท์
เมื่อเร็วๆ นี้ ศ.ดร.คณิต ณ นคร คณบดีคณะนิติศาสตร์ ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ บรรยายพิเศษ เรื่อง ”การปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม” ในการประชุมวิชาการครั้งที่ 7 สาขาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม “วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น” ณ ห้องประชุมเธียร์เตอร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงเสน โดยชี้ให้เห็นว่า การปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเป็นเรื่องใหญ่มาก มีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมครั้งแรกเมื่อปี 2540 ทั้งการปฏิรูปเรื่องการออกหมายจับให้กระทำโดยศาล ไม่ได้กระทำโดยเจ้าพนักงานในอดีต รวมทั้งความเป็นอิสระของผู้พิพากษา ตุลาการ ส่วนการปฏิรูปกฎหมายยังไม่ค่อยเข้าใจกัน
ศ.ดร.คณิต กล่าวถึงการปฏิรูปกฎหมาย ต้องมองย้อนอดีตกฎหมายไทยไม่เป็นที่น่าเชื่อถือของชาติตะวันตก ทำให้เกิดสภาพนอกอาณาเขต คนต่างชาติมาทำผิดก็ไม่ได้ขึ้นศาลไทย จึงจำเป็นต้องสร้างความเชื่อมั่น ด้วยการปฏิรูปกฎหมายให้ทันสมัยตามแบบอย่างของตะวันตก ซึ่งระบบกฎหมายในโลกมี 2 ระบบ คือ กฎหมายคอมมอนลอว์ (Common Law) เช่น อังกฤษ สหรัฐฯ สิงคโปร์ และระบบกฎหมายซีวิลลอว์ (Civil Law) เช่น ประเทศในยุโรป เยอรมณี ฝรั่งเศส ซึ่งตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ประเทศไทยเลือกระบบกฎหมายเหมือนประเทศในยุโรป
“ระบบกฎหมายซีวิลลอว์ เป็นการดำเนินคดีโดยรัฐ ถือว่ารัฐเป็นใหญ่ ขณะที่ระบบกฎหมายคอมมอนลอว์ ดำเนินคดีโดยประชาชน เพราะถือว่า หากเกิดความไม่ถูกต้องขึ้นทุกคนมีอำนาจฟ้องคดีได้”
ศ.ดร.คณิต กล่าวว่า ระบบกฎหมายไทยให้ความสำคัญกับคดีแพ่งมาก ความสำคัญของผู้พิพากษาคดีแพ่งจึงมีมากกว่าผู้พิพากษาคดีอาญา ทั้งๆ ที่คดีอาญามีความสำคัญมาก เป็นเรื่องของสาธารณะ ส่วนคดีแพ่งเป็นเรื่องปัจเจกบุคคล ประกอบกับผู้พิพากษาไทย ส่วนใหญ่ก็คุ้นเคยกับคดีแพ่ง ทำให้การปฏิบัติมีปัญหา เช่น ในคดีแรงงาน ไม่ใช่ระหว่าง นาย ก นาย ข มีผลกว้างไกลกว่าคดีแพ่ง ที่เป็นเรื่องของคน 2 คน แต่เราไม่เข้าใจกัน
“การปฏิรูปกฎหมายต้องเข้าใจระบบ ไม่ใช่ว่าอยากจะทำ บ้านเราเวลาแก้ไขกฎหมาย เราคิดแก้เพียงให้สะดวกกับเจ้าพนักงานฝ่ายรัฐ ไม่ได้ดูบริบทอื่น เราต้องปฏิรูปตัวบทกฎหมาย แต่จะปฏิรูปอย่างไร เป็นเรื่องต้องมีการวิจัยกันต่อไป และต้องปฏิรูปการบังคับใช้กฎหมายด้วย”
กรณีการบังคับใช้กฎหมาย คณบดีคณะนิติศาสตร์ ปรีดี พนมยงค์ มธบ. กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นปัญหากฎหมาย ปัญหานักกฎหมายทั้งสิ้น ด้วยนักกฎหมายยังมีความแตกต่างกันในระบบ เป็นนักกฎหมายที่มีความคิดแบบคอมมอนลอว์ บ้าง ซีวิลลอว์บ้าง ทำให้การบังคับใช้ไม่ค่อยเป็นมักเป็นผล ที่สำคัญต้องปฏิรูปการเรียนการสอนกฎหมาย เปลี่ยนจากเน้นการท่องจำเป็นเน้นหลักทฤษฎี เพราะการสอนหลักทฤษฎีทำให้คนที่จบกฎหมายสามารถวินิจฉัยเรื่องที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งอาจถึงขั้นต้องล้มล้างและทำใหม่
สำหรับการตั้งองค์กรขึ้นมาเพื่อปฏิรูปกฎหมายนั้น ศ.ดร.คณิต กล่าวว่า เกิดขึ้นแล้ว โดยตนได้รับมอบหมายให้เป็นประธานกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (ชั่วคราว) เพื่อยกร่างกฎหมายการตั้งองค์กรปฏิรูปกฎหมายขึ้น ขณะนี้ผ่านสภาฯแล้ว กำลังอยู่ในช่วงประกาศใช้ จากนั้นจะเลือกสรรกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ซึ่งต้องติดตามต่อไปสำนักงานปฏิรูปกฎหมายได้ทำอะไรเป็นมักเป็นผลบ้าง
“การปฏิรูปกฎหมายในพระราชบัญญัติฉบับนี้ บอกว่า ต้องมีการวิจัย ไม่ใช่คิดเอา โดยต้องศึกษาวิจัยให้รู้ว่าทำไม ไม่ดี ไม่ดีเพราะกฎหมาย หรือไม่ดีเพราะอะไร และต้องให้ความรู้แก่สังคมด้วย เพราะกฎหมายบังคับใช้กับประชาชนโดยรัฐ ถ้าคนในรัฐไม่รู้เรื่องจะเป็นปัญหา จึงจำเป็นต้องฟังเสียงของสังคม เช่น กฎหมายทำแท้ง เป็นต้น”
ศ.ดร.คณิต กล่าวถึงการทำงานของตำรวจ อัยการ ต่างคนต่างทำ เมื่อไปถึงศาล ก็ไม่ได้เชื่อมโยงกัน ไม่เป็นกระบวน ขณะที่การศึกษาก็ไม่ครบวงจร ซึ่งกระบวนการยุติธรรม มีกฎหมายอยู่ 3 ลักษณะ คือกฎหมายอาญา ที่บัญญัติเกี่ยวกับเรื่องความผิด เมื่อความผิดเกิดขึ้นแล้วจะจัดการกับการกระทำความผิดนั้นอย่างไร เรามีกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา นอกจากนั้นมีกฎหมายบังคับโทษ เมื่อศาลพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ไปบังคับโทษในเรือนจำ เราไม่เคยศึกษากฎหมายว่าด้วยเรือนจำ ซึ่งมีมาตั้งแต่พ.ศ.2479
เมื่อพูดถึงความสำคัญของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา คณบดีคณะนิติศาสตร์ ปรีดี พนมยงค์ มธบ. กล่าวว่า เข้าไปเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและทรัพย์สินของประชาชน ซึ่งหากกระบวนการยุติธรรมเราไม่ดี เศรษฐกิจสังคมเราก็แย่ การเมืองจะพัฒนาไปสู่ประชาธิปไตยโดยกระบวนการยุติธรรมที่ไม่มีประสิทธิภาพก็จะเป็นไปไม่ได้เลย
“กระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่ดี ต้องมีประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย ขณะเดียวกันต้องสามารถคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคลได้ เรื่องใหญ่ที่เราต้องทำให้เกิดขึ้น แต่ปัจจุบันกระบวนการยุติธรรมของเรา ดูเรื่องประสิทธิภาพก็แย่ คุ้มครองสิทธิก็แย่ แถมยังแพง และแย่ในด้านการบริหารจัดการ”
ศ.ดร.คณิต กล่าวอีกว่า การบริหารงานยุติธรรมเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ ดังนั้นต้องกลั่นกรอง คดีสัพเพเหระ ไม่เป็นเรื่องเป็นราวให้หลุดไปจากกระบวนการ ไม่ควรไปถึงศาล เช่น เบี่ยงเบนคดี ทำอย่างไรลดจำนวนผู้ต้องขัง หรือลดปริมาณคดีไปสู่ศาล ขณะเดียวกันองค์กรบริหารงานยุติธรรม เช่น อัยการก็มีสภาพไม่เอื้อต่อการบริหารงานยุติธรรม โดยเฉพาะการไปอยู่เอกเทศ ตามรัฐธรรมนูญที่บัญญัติใหม่ให้เป็นองค์กรอิสระ นั้น ทางที่ถูกอัยการต้องเป็นลำไส้ใหญ่ของกระบวนการยุติธรรม สังกัดกระทรวงยุติธรรม ปัจจุบันกลายเป็นไส้ติ่ง
ศ.ดร.คณิต กล่าวถึงแนวคิดในการบริหารงานยุติธรรม คือการลดปริมาณคดีขึ้นสู่ศาล แต่บ้านเราการบริหารงานยุติธรรมไทย ยังเป็นระบบสายพาน เหมือนโรงงานผลิตสินค้า ดังนั้นต้องมองย้อนกลับ ปรับปรุงมาตรการบังคับทางอาญา ให้มีมาตรการอื่นๆ เข้ามาร่วมด้วย เชื่อว่า จะช่วยลดปริมาณคดีขึ้นสู่ศาล ลดจำนวนผู้ต้องขังได้
“ ทำง่ายนิดเดียว ลดเข้า เพิ่มออก ซึ่งเพิ่มออกปัจจุบันที่เห็นคือ ปล่อยก่อนกำหนด พักโทษ อภัยโทษ แม้ว่ารูปแบบจะใช้ได้ แต่เนื้อหายังไม่ดี ก็ต้องคิดกัน ว่าทำอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ การลดปริมาณคดีเข้าสู่สายพาน ทำได้ทุกองค์กร โดยเฉพาะอัยการ อาจใช้เรื่องสั่งไม่ฟ้อง ชะลอการฟ้อง แต่ถึงวันนี้กฎหมายชะลอการฟ้องยังไม่ผ่านสภา หรือใช้ความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ เป็นต้น ”