“ชาญเชาวน์”มั่นใจ 3 ปี มี กม.ขับเคลื่อนยุติธรรมชุมชน
อธิบดีกรมคุมประพฤติ ยันระบบความยุติธรรมไม่ใช่มีแค่ในตำรวจ อัยการ ผู้พิพากษา แท้จริงทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมได้ ขณะที่ “หมอประเวศ” เผย คสป.สรุปแล้วขับเคลื่อนการทำงานเ 4 เรื่องหลัก
เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเวทีการประชุม “ปฏิรูปประเทศไทยเพื่อสุขภาวะคนไทย” ครั้งที่ 43 ณ โรงแรมสยามซิตี้ กรุงเทพมหานคร โดยมี ศ.นพ.ประเวศ วะสี ประธานคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป (คสป.) และประธานเครือข่ายสถาบันทางปัญญา กล่าวเปิดการประชุมตอนหนึ่ง ว่า “ยุติธรรมชุมชน” ถือเป็นประเด็นปฏิรูปที่ใหญ่และยากที่สุดประเด็นหนึ่ง ซึ่งขณะนี้คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปได้ข้อสรุปแล้วจะขับเคลื่อนการทำงานทั้งหมด 4 เรื่อง คือ 1.นิรโทษกรรมประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเรื่องที่ดิน 2.ยุติธรรมชุมชน 3.การเสริมศักยภาพทางกฎหมายให้คนจน และ 4.การปฏิรูประบบยุติธรรมทั้งหมด รวมถึงกระบวนการยุติธรรม
ศ.นพ.ประเวศ กล่าวถึงความคืบหน้าล่าสุดของการขับเคลื่อนยุติธรรมชุมชน ว่า เป็นเรื่องที่ในอนาคตต้องสนับสนุนให้เป็นระดับนโยบาย เพราะเป็นเรื่องที่เข้าถึงประชาชนโดยตรง พร้อมทั้งเชิญองค์การบริหารส่วนตำบลเข้ามามีส่วนร่วม โดยนายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ อธิบดีกรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม ได้นำเรื่องนี้เสนอต่อคณะรัฐมนตรีถึงการจัดสรรงบประมาณต่อไป ขณะที่ประเด็นการเสริมศักยภาพทางกฎหมายให้คนจน อันเป็นโครงการที่กระทรวงยุติธรรมเริ่มทำมาก่อน และได้นำร่องที่จังหวัดอ่างทอง จนเสร็จสิ้นโครงการนั้น คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป มีความเห็นว่า ในอนาคตจะดึงมหาวิทยาลัยแต่ละจังหวัดเข้ามาเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างคณะทำงานและชุมชน เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจทางด้านกฎหมายให้เกิดขึ้นกับประชาชนในระดับท้องถิ่น
“สังคมเราใช้อำนาจหมดทุกหนทุกแห่ง พ่อแม่ใช้กับลูก ครูใช้กับนักเรียน หากเราสามารถปรับเปลี่ยนให้เกิดเป็นการเรียนรู้ร่วมกันได้ จะนำไปสู่สังคมที่ใช้ปัญญา ซึ่งไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นปรับปรุงที่ผู้บริหาร แต่เป็นการสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นในระดับชุมชน และเมื่อชุมชนแวดล้อมมีศักยภาพทางกฎหมายแล้ว ก็จะทำให้การกระชับพื้นที่เพื่อให้ผู้บริหารในระดับต่างๆ เปลี่ยนแปลงก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป” ศ.นพ.ประเวศ กล่าว
จากนั้นในที่ประชุมได้มีการนำเสนอ “โครงการพัฒนาแผนงานระบบยุติธรรมกับสุขภาวะ” โดยนายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ อธิบดีกรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม
นายชาญเชาวน์ กล่าวถึงระบบยุติธรรมชุมชนที่พึงปรารถนาของคนไทย ต้องเชื่อมโยงไปถึงสังคมทุกระบบ ซึ่งจะดำเนินการเป็นลำดับขั้นตอนจากระดับปัจเจกชน ชุมชน สู่ระดับชาติ โดยการจัดทำโครงการนี้มีแนวคิดเพื่อสร้างทัศนคติที่ดีให้เกิดขึ้นในสังคม และให้เข้าใจตรงกันว่า ระบบความยุติธรรมนั้นไม่ใช่มีอยู่แค่ในตำรวจ อัยการ หรือผู้พิพากษา แต่แท้จริงแล้วทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมด้วยกันทั้งหมดได้
“เราต้องปรับนิยามความเชื่อ สร้างกลไกและกระบวนการให้ชาวบ้านเข้าใจว่า เมื่อมีปัญหาไม่จำเป็นต้องไปหากฎหมาย ไม่ต้องพึ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐเพียงอย่างเดียว หากเปลี่ยนนิยามเริ่มต้นได้จะก่อให้เกิดความเป็นธรรมที่กระจายอยู่ทุกพื้นที่ ดังนั้นต้องเปลี่ยนความเชื่อกันก่อนว่า ความเป็นธรรมไมได้ขึ้นอยู่กับกฎหมายเพียงอย่างเดียว” นายชาญเชาวน์ กล่าวและว่า ในระยะเวลา 3 ปี จะเกิดเครื่องมือที่ใช้ขับเคลื่อนระบบยุติธรรมอย่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมระบบยุติธรรมภาคพลเมือง โดยมีสำนักงานส่งเสริมระบบยุติธรรมภาคพลเมืองเป็นแกนนำในการขับเคลื่อนการทำงาน พร้อมจัดตั้งคณะกรรมการส่งเสริมระบบยุติธรรมภาคพลเมือง และสถาบันวิจัยระบบยุติธรรมภาคพลเมืองที่ทำหน้าที่ให้ความรู้แก่ประชาชน
สำหรับยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อน นายชาญเชาวน์ กล่าวว่า มีทั้งหมด 5 ข้อ ได้แก่ 1.การสร้างองค์ความรู้และปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ใหม่ในเรื่องความยุติธรรมและระบบยุติธรรม 2.เสริมสร้างศักยภาพของประชาชนเพื่อสร้างระบบยุติธรรมภาคพลเมือง 3.พัฒนาการบริหารจัดการ ระบบยุติธรรมโดยประชาชนในท้องถิ่น 4.ส่งเสริมการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยสะดวกรวดเร็วและทั่วถึง และ 5.สนับสนุนระบบยุติธรรมของรัฐให้ตอบสนองต่อผู้ด้อยโอกาส
ด้าน ดร.สุนทรียา เหมือนพะวงศ์ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลประจำสำนักประธานศาลฎีกา กล่าวในฐานะที่ปรึกษาโครงการ ว่า การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมจะประสบความสำเร็จต้องเริ่มจากการสร้างความเป็นเจ้าของให้เกิดขึ้นกับประชาชน ซึ่งความเป็นธรรมเกิดขึ้นอยู่ในทุกระบบของสังคม หากมีการจัดระบบการสร้างความยุติธรรมตั้งแต่ขั้นปฐมภูมิ คือ ปลูกฝังในระดับครอบครัว
"คณะทำงานมีหน้าที่นอกจากจะเผยแพร่นิยามใหม่แล้ว ต้องทำหน้าที่เชื่อมโยงให้เห็นว่า ทุกภาคส่วนนั้นสามารถทำงานในกระบวนการยุติธรรมได้หมด และเมื่อการกระจายแนวคิดนี้สำเร็จ สังคมก็จะปรับตัวไปสู่ความเป็นธรรมในที่สุด" ดร.สุนทรียา กล่าว
ขณะที่น.ส.รสนา โตสิตระกูล สมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า การทำงานในวุฒิสภามีโอกาสได้รับเรื่องร้องเรียนประเด็นความไม่เป็นธรรมบ่อยครั้ง ซึ่งแต่ละกรณีพยายามผลักดันให้เกิดการแก้ไข แต่ปัญหาทั้งหมดก็เหมือนวนเวียนอยู่กับที่ ในขณะที่ชาวบ้านก็ไม่เคยได้สัมผัสกับกระบวนการที่เรียกว่า ความเป็นธรรมอย่างเท่าเทียม การจัดทำโครงการนี้ต้องตอบโจทย์ใหญ่ให้ได้ว่า จะสามารถเข้าถึง และเชื่อมโยงกับประชาชนได้อย่างไร