เครือข่ายภาคปชช. เสนอตั้ง ‘อานันท์- ประเวศ’ ปธ.กก.อิสระเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ
สมเกียรติ ตั้งกิจวณิช หวั่นสังคมไทยมีการกระจายรายได้แบบไม่สุภาพ ไม่รีบหาทางออกจะเกิดเหตุการณ์ปฏิวัติประชาชน ส่วนตัวแทนเครือข่ายภาคประชาชน ยันความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยมีมานาน แต่ไม่รุนแรง วันนี้ปัญหาปะทุขึ้น เพราะมีพวกเข้ามากอบโกยอย่างไร้ความเมตตา
เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมา เครือข่ายภาคประชาชน คณะกรรมการนักธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมไทย(TBCSD) เครือข่ายธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม(SVN) และองค์กรร่วมจัดที่เกี่ยวข้อง จัดงานเสวนาหัวข้อ “เศรษฐกิจเติบโตไม่ได้ ภายใต้สังคมที่ล้มเหลว” ณ ห้องประชุมประไพวิริยะพันธุ์ บริษัทวิริยะประกันภัย จำกัด (สาขาลุมพินี)
นายสมเกียรติ ตั้งกิจวณิช ผู้อำนวยการวิจัยด้านเศรษฐกิจยุคสารสนเทศ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) กล่าวถึงหน้าที่หลักของรัฐ คือ เป็นยามเฝ้าบ้าน เฝ้าวิกฤตการณ์การของแผ่นดิน ซึ่งจากที่มีเหตุการณ์การเผาบ้าน เผาเมือง ถือได้ว่า รัฐบาลล้มเหลว ประชาชนรากหญ้าจำนวนมากออกมาตื่นตัวเรียกร้องสิ่งที่รัฐปฏิบัติสองมาตรฐาน ทำให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำมีจริง ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และเรื่องอื่นๆ ดังนั้น การที่คนจำนวนมากตื่นตัว เรียกร้องความเท่าเทียมถือเป็นโจทย์สำคัญเฉพาะหน้าที่รัฐต้องรีบแก้ไข
“ท่ามกลางสังคมไทยที่มีการกระจายรายได้แบบไม่สุภาพ ทางออกของประเทศไทย หากปล่อยไว้จะเกิดเหตุการณ์ปฏิวัติประชาชน กดขี่ปราบปราม ดังนั้นมีเส้นทางเลือกคือ กระจายรายได้แบบประชานิยมสุดขั้ว หรือ สร้างระบบสวัสดิการพื้นฐาน ก็ต้องเลือกเส้นทางเดิน เพราะวันนี้เศรษฐกิจภาคประชานิยมไม่สามารถตอบโจทย์ได้อย่างแท้จริง สิ่งที่ทุกคนต้องการและร่วมกันสร้างให้เกิดขึ้น จะต้องนำไปสู่การสร้างประชาธิปไตยที่มั่นคง มีสวัสดิการที่เท่าเทียม”
นายสมเกียรติ กล่าวถึงช่องว่างและความเหลื่อมล้ำทางรายได้ สิทธิการเข้าถึงทรัพยากร แต่เดิม คนชนบทเลือกรัฐบาล คนเมืองล้มรัฐบาล แต่ปัจจุบัน ความเหลื่อมล้ำจริงๆ อยู่ที่คนในระบบและนอกระบบ สะท้อนเห็นชัดเจนจากรายได้ ที่จำเป็นเร่งด่วนจะต้องปิดช่องว่างทางรายได้นี้ โดยภาคธุรกิจและนายทุน ต้องเป็นตัวเชื่อมของคนที่ด้อยสิทธิในสังคมกับบุคคลที่เป็นชนชั้นนำทางสังคม โดยวิธีการ Corporate Social Responsibility (CSR) หรือ ธุรกิจเพื่อสังคม ให้ธุรกิจของตนมีความรับผิดชอบแก่สังคม ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม อบรมคนงาน ไม่เอาสินบน นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี สำคัญคือ ต้องให้การศึกษา ให้สิทธิเสรีภาพ มีความเป็นธรรมในการประกอบธุรกิจ ไม่ทุจริต คอร์รัปชั่น ช่วยปรับระบบของสังคมให้สอดคล้องไปด้วย
ขณะที่นายสมเกียรติ พ้นภัย ตัวแทนเครือข่ายภาคประชาชน กล่าวปัญหาของคนภาคตะวันออกเฉียงเหนือเสียที่ดิน เพราะวิ่งตามกระแส และเสียที่ดินให้แก่รัฐ คือ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์(ธกส.) ถือเป็นความเหลื่อมล้ำในสังคม ซึ่งสะสมมานาน แต่ไม่รุนแรง และอยู่ได้เพราะคนที่เหลื่อมล้ำยังมีเมตตาช่วยเหลือสังคม แต่ปัจจุบันมีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามากอบโกยโดยไร้ความเมตตา เราจะเห็นเศรษฐกิจเจริญเติบโต ทางกลับกันประชาชนก็กำลังจะตายตามไปด้วย
ตัวแทนเครือข่ายภาคประชาชน กล่าวถึงการเรียกร้องของกลุ่มคนเสื้อแดงว่า เป็นการเรียกร้องอำนาจ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง หากรัฐบาลจะแก้ปัญหาให้ตรงจุดต้องแก้เรื่องปากท้อง อย่างเช่น กลุ่มสมัชชาคนจน มีเรื่องมากมาย และง่ายหากรัฐบาลจะรีบแก้ไข
“ประเทศไทยเปรียบเหมือนบ้านหลังหนึ่ง จากแผนปรองดอง ปฏิรูปประเทศ ที่นายกรัฐมนตรีประกาศ 5 ข้อ คิดว่าอาจจะไม่พอ หากจะสร้างบ้านหลังหนึ่ง ต้องมีแบบแปลน เสา อุปกรณ์ก่อสร้าง ต้องมีทุกอย่าง ไม่ใช่พูดเพียงลมปาก ต้องสร้างให้เป็นหัวใจหลักให้คนสามารถทำตามต่อได้ ขณะนี้คนที่มาก่อสร้างมีอยู่มากแล้ว” นายสมเกียรติ กล่าว และว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องสังคายนา ประชาชนอยากได้บ้านหลังใหม่อย่างไร ต้องสร้างโครงสร้างให้ดี เปิดใจ เป็นโอกาส ทำอย่างไรให้กระดูกสันหลังของชาติเป็นกระดูกที่เข้มแข็ง อย่ามองว่าเป็นเพียงจุดเล็กๆ เพราะจะกลายเป็นมะเร็ง
ด้านนายธวัชชัย ยงกิตติคุณ เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำว่า ลึกๆประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกรังแก ถูกโกง เมื่อวิ่งเข้าหาภาครัฐก็ไม่มีใครสนใจ ซึ่งเป็นความรู้สึกหนึ่งที่กลุ่มเสื้อแดงที่ออกมาเรียกร้องและไม่มีคนช่วยเหลือ ซึ่งประเด็นนี้สำคัญกว่าเรื่องรายได้
“การแก้ปัญหาส่วนใหญ่ยังมองการแก้ไขเป็นแท่งๆ ที่เป็นเพียงทฤษฎีทางด้านเศรษฐศาสตร์ แต่ประเทศไทยเป็นปัญหาที่มีท่อยาว อีกทั้งบางท่อยังแตกด้วย ซึ่งตะกอนที่แตกออกมาทำให้จัดการได้ยาก จึงถึงเวลาที่ประเทศไทยควรมีเวที แต่ไม่ใช่ของรัฐบาล แต่ต้องเป็นเจ้าของร่วมกัน ขณะนี้ประชาชนมองเกินกลุ่มเสื้อสองสีแล้ว อย่างน้อยต้องเกิดจากพลังของทุกกลุ่มชน ไม่ได้มาจากเพียงแค่คนกรุงเทพฯ แต่ทุกจังหวัดควรจะมี เปิดโอกาสให้คนที่ประสบปัญหาได้มาระบาย มีนักวิชาการช่วยประมวลปัญหา ทุกอย่างจะเกิดขึ้นจนสำเร็จ ร่วมกัน เป็นกติกาของสังคม”
ส่วนนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลนำเสนอ ก่อนเกิดเหตุการณ์วุ่นวาย ประเด็นแผนปรองดองที่ได้ประกาศ คือ ต้องเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อการขับเคลื่อนเป้าหมายระยะยาว แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ช่องว่าง โดยเฉพาะปัญหาที่สะสมในจิตใจ สร้างสวัสดิการขึ้นพื้นฐาน โดยเฉพาะกระบวนการปรองดอง หากรัฐบาลทำคนเดียวก็ไม่เกิด แต่ให้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้น เชิญคนไทยทั้งประเทศ เครือข่ายองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ใกล้ชิดพี่น้องประชาชนมากที่สุด เครือข่ายนักวิชาการ เครือข่ายองค์กรธุรกิจ และ สื่อมวลชน เข้ามาเข้าร่วม จัดเวทีชาวบ้าน เปิดช่องทางเครือข่าย รวมทั้งพลังเงียบ จากสังคมออนไลน์ เข้ามาวาดฝันประเทศร่วมกัน
“การกระจายความเข้มแข็งในพื้นที่ ให้เกิดขึ้น ต้องเปลี่ยนโจทย์ ว่าคนที่รู้ปัญหาดี คือ คนในพื้นที่ ต้องใช้ประชาชนและพื้นที่เป็นตัวตั้ง วันนี้นอกจากประชาชน มีปัญหาของตนเอง ส่วนราชการและส่วนภูมิภาค ที่มีสถาบันการศึกษาเชื่อมอยู่ทุกพื้นที่ต้องเข้าไปแก้ปัญหา จะเป็นโจทย์ที่เป็นตัวตั้ง แล้วจะนำไปสู่การแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง”
จากนั้นช่วงท้ายองค์กรร่วมจัดงาน ประกอบด้วยองค์กรเครือข่ายภาคประชาชน 19 แห่ง และผู้ลงนามประเภทบุคคล ทำหนังสือถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เรื่อง การตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฎิรูปลดความเหลื่อมล้ำ ในสังคมไทย โดยยื่นข้อเสนอ 1.แต่งตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย โดยเรียนเชิญ นายอานันท์ ปันยารชุน และนายแพทย์ประเวศ วะสี เป็นประธาน 2.ให้คณะกรรมการฯ ชุดนี้มีกฎหมายรองรับ และมีผลผูกพันต่อรัฐบาลทุกสมัย จนกว่าจะบรรลุวัตถุประสงค์ของการลดความเหลื่อมล้ำ คณะกรรมการไม่หมดอายุไปพร้อมกับรัฐบาล 3.ข้อเสนอของคณะกรรมการฯ ต้องมีผลทางกฎหมายที่รัฐบาลจะต้องนำไปปฎิบัติ