เดินเครื่องตั้งศูนย์รวบรวมข้อมูลสิ่งแวดล้อม-สุขภาพพื้นที่มาบตาพุด
สถาบันการศึกษา-ท้องถิ่น-ภาคปชช. ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการเพื่อเฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในเขตพื้นที่มาบตาพุด ศ.ดร.มิ่งสรรพ์ เชื่อความร่วมมือครั้งนี้จะนำไปสู่การแก้ปัญหาร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม
วันนี้ (6 ก.ย.) ที่โรงแรมปทุมวันปริ๊นเซส ศ.ดร.มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด ผู้อำนวยการแผนงานสร้างเสริมการเรียนรู้กับสถาบันอุดมศึกษาไทยเพื่อการพัฒนา นโยบายสาธารณะที่ดี (นสธ.) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในฐานะประธาน กล่าวถึงการลงนาม “บันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการเพื่อเฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในเขตพื้นที่มาบตาพุด” ว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงครั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมและของเสียอันตราย องค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง เทศบาลเมืองมาบตาพุด และเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก เพื่อร่วมมือกันดำเนินโครงการวิจัยทางวิชาการ ร่วมกับภาคประชาชน ร่วมสร้างการเรียนรู้และพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของมาบตาพุดและพื้นที่โดยรอบ และจัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมและสุขภาพภาคประชาชน เพื่อเป็นศูนย์รวบรวมข้อมูลของมาบตาพุดที่เปิดกว้างให้ทุกฝ่ายสามารถเข้ามาค้นหาหรือใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งเชื่อว่าการลงนามครั้งนี้จะนำไปสู่การแก้ปัญหาร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม
ด้าน รศ.ดร.อรุณี อินทรไพโรจน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี กล่าวว่า ปัจจุบันข้อมูลต่างๆในพื้นที่มาบตาพุดไม่มีหน่วยงานกลางที่ดูแลและรวบรวมข้อมูลทั้งหมด ทำให้ข้อมูลที่มีอยู่ไม่เกิดประสิทธิภาพในการใช้ประโยชน์ เบื้องต้นการทำงานภายใต้ข้อตกลงนี้ จะเน้นหนักที่การรวบรวมผลการศึกษาจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคประชาชนที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่มาบตาพุด ทั้งลักษณะกายภาพของชุมชน ลักษณะอุตสาหกรรม สิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชน ภายหลังการรวบรวมผลการศึกษาต่างๆ จัดทำเป็นข้อมูลสารสนเทศของมาบตาพุด และบรรจุข้อมูลอยู่ในแผนที่ดาวเทียมเพื่อระบุตำแหน่งและเฝ้าระวังระดับปัญหา ที่จะกระทบต่อชุมชน สิ่งแวดล้อม โดยข้อมูลเหล่านี้จะนำไปสู่การจัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม ที่มีหลายภาคส่วนร่วมกันทำงาน ทั้งนี้ จะมีการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยความระมัดระวังโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อไม่ให้เกิดส่วนได้ส่วนเสียกับกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด โดยมีหลักการคือ ถือความถูกต้องเป็นหลัก
ส่วนรศ.ดร.เลอสรวง เมฆสุต ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมและของเสียอันตราย กล่าวถึงปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่มาบตาพุด ว่า ส่วนหนึ่งเกิดจากความไม่ไว้ใจซึ่งกันและกันระหว่างประชาชน ภาครัฐ นักวิชาการ และภาคอุตสาหกรรม จำเป็นต้องใช้เครื่องมือใหม่เพื่อจัดการปัญหา ให้ทุกฝ่ายเกิดการยอมรับ จึงมีการเสนอการใช้เครื่องมือที่เรียกว่า “การประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์” (Strategic Environmental Assessment : SEA) เป็นการทำงานครอบคลุมทุกด้านทั้งสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม หาความสมดุลเพื่อนำไปสู่การวางแผน การตัดสินใจ โดยจะต้องใช้ข้อมูลที่แท้จริงที่ทุกฝ่ายให้การยอมรับ และผ่านกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน จนกลายเป็นข้อมูลชุดเดียวที่สังคมยอมรับ ไม่ว่าจะทำโครงการใดๆ ก็จะได้รับการยอมรับและเดินหน้าร่วมกันได้
ขณะที่รศ.ดร.เรณู เวชรัชต์พิมล คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวว่า ประชาชนมาบตาพุด ไม่ได้มีปัญหากับการพัฒนาอุตสาหกรรม แต่มีปัญหากับการรุกรานสิ่งแวดล้อมของอุตสาหกรรมข้ามชาติที่ละเลยการใช้ มาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่ดี การเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงเพื่อนำไปสู่การวางแผนเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา ร่วมกัน ถือเป็นสิ่งที่สามารถขจัดปัญหาความไม่เชื่อใจกันและกัน ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการมีข้อมูลสารสนเทศที่ไม่ครบถ้วน หากมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ชัดเจน เช่น ปริมาณมลพิษในอากาศ ระดับความเป็นพิษของน้ำ และสามารถเชื่อมโยงได้ว่าจะทำให้เกิดผลใดขึ้น จะทำให้ทุกฝ่ายเกิดความยอมรับและพร้อมที่จะแก้ปัญหาด้วยกัน
“การทำงานจะไม่ใช้วิธีเพ่งเล็งหาคนผิด แต่เป็นการเฝ้าระวังและหาความเปลี่ยนแปลงจากสิ่งแวดล้อม เช่น การเปลี่ยนแปลงของไส้เดือนที่บ่อขยะ หอย ปลาในทะเล กบ คางคง ที่แสดงให้เห็นสารพิษใกล้ชุมชน หรือพืชบางอย่างก็สามารถชี้วัดได้ ซึ่งพื้นที่มาบตาพุด ถือเป็นพื้นที่ต้นแบบเพื่อให้จังหวัดอื่นๆ ได้เรียนรู้ถึงการเฝ้าระวังและแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม เพื่อนำไปปรับใช้ในพื้นที่ต่างๆได้ทั่วประเทศ ”รศ.ดร.เรณู กล่าว