อานันท์ย้ำจุดยืนต้องการให้ประกาศ 18 โครงการรุนแรง
“อานันท์” เรียกประชุมอดีต คกก.4 ฝ่ายมาบตาพุดวาระพิเศษ ย้ำจุดยืน 18 โครงการรุนแรงที่เสนอไป “อภิสิทธิ์” โผล่ร่วมประชุม ประกาศยังคง 11 โครงการ แกนนำชาวบ้านเปลี่ยนท่าที บอกสิ้นเดือนเจอม็อบล้อมนิคมฯแน่
วานนี้ (14 ก.ย.) เวลา 09.00 น.ที่บ้านพิษณุโลก นายอานันท์ ปันยารชุน ประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการปฏิบัติตามมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาญาจักรไทย หรือคณะกรรมการ 4 ฝ่ายเพื่อแก้ไขปัญหามาบตาพุด จังหวัดระยอง เรียกประชุมอดีตคณะกรรมการ 4 ฝ่าย ร่วมกับตัวแทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวะสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.)
จากนั้นเวลาประมาณ 12.00 น. นายอานันท์ ให้สัมภาษณ์ว่าการทำงานของคณะกรรมการ 4 ฝ่าย ส่วนหนึ่งเป็นการแก้ปัญหานิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด แต่อีกส่วนคือการสร้างกระบวนการวิธีการที่จะนำไปสู่การปฏิบัติทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดให้โครงการที่อาจมีผลกระทบต่อชุมชนรุนแรงต้องทำรายงาน วิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม(อีไอเอ) รายการวิเคราะห์ผลกระทบสุขภาพ(เอชไอเอ) การทำประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสีย หรือการตั้งองค์การอิสระเฉพาะกาล รวมทั้งการเสนอ 18 ประเภทโครงการรุนแรงที่อาจมีผลกระทบต่อชุมชน
นายอานันท์ กล่าวว่าที่ประชุมพิจารณาว่าจะมีโครงการใดในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดที่เข้าข่าย 11 ประเภทโครงการรุนแรง นอกจากนี้จะมีการหารือกับสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อเตรียมส่งร่างพระราชบัญญัติองค์กรอิสระถาวรเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ส่วนกรณีที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมีมติตัด 18 ประเภทโครงการรุนแรงที่คณะกรรมการ 4 ฝ่ายฯ เสนอไปเหลือ 11 ประเภท และนำมาซี่งกระแสคัดค้านของภาคประชาชน คณะกรรมการ 4 ฝ่ายมีหน้าที่เพียงให้ข้อเสนอและก็ยังมีจุดยืนตามที่เสนอไป ส่วนการตัดสินใจเป็นสิทธิและอำนาจของรัฐบาล
“เราทำหน้าที่เสร็จแล้ว ซึ่งได้เสนอไป 18 ประเภท ส่วนรัฐบาลก็มีสิทธิ์และมีอำนาจผ่านคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติที่ตัดเหลือ 11 และมีการแก้ไขบางประการ รัฐอาจจะบอกว่าทำให้เข้มแข็งขึ้น แต่ภาคประชาชนบอกเข้มแข็งน้อยลง ที่ประชุมวันนี้เพื่อจะรับฟังว่า รัฐมีวิธีคิดหรือข้อมูลข้อเท็จจริงอย่างไร ในการพิจารณาตัดออก 7 รายการ"
นายอานันท์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้คณะกรรมการ 4 ฝ่ายทำหน้าที่จบแล้ว ต่อจากนี้เป็นหน้าที่รัฐบาล แต่จะติดตามดูต่อไป นอกจากนี้ก็มีการหารือร่วมกันในเรื่องแผนผังเมืองและแผนลดมลพิษ ซึ่งคณะทำงาน 3 ฝ่าย คือคณะทำงานของนายธงชัย พรรณสวัสดิ์ ที่ดูแลเรื่องกิจการที่อาจจะรุนแรง นายสุทิน อยู่สุข ที่ดูแลแผนลดและขจัดดมลพิษ และนายโกศล ใจรังษี ที่ดูแลเรื่องผังเมือง จะร่วมติดตามการดำเนินงานของรัฐบาล โดยจะนัดหารือนอกรอบกันทุก 2 เดือนจากนี้
ด้านนายสุทธิ อัชฌาศัย แกนนำเครือข่ายประชาชนชนภาคตะวันออก กล่าวถึงจุดยืนที่ต้องการให้ประกาศ 18 ประเภทโครงการรุนแรงที่เข้าข่ายสร้างผลกระทบต่อชุมชนชนทั้งสิ่งแวดล้อม-สุขภาพ ต้องมีการทำประชาพิจารณ์และผ่านความเห็นชอบองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้คณะกรรมการ 4 ฝ่ายเสนอให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติส่งเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา เนื่องจากเป็นความเห็นของภาคประชาชน และรัฐบาลควรทำตามนโยบายที่ประกาศว่ามาบตาพุดเป็นพื้นที่อ่อนไหวที่ทุกโครงการต้องปฏิบัติตามกฎหมาย โดยพร้อมยุติการเคลื่อนไหวทันทีหากรัฐบาลเห็นชอบตามข้อเสนอประชาชน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเวลาประมาณ 12.30 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ตามเข้าไปร่วมประชุมโดยไม่ได้นัดหมายล่วงหน้า โดย ใช้เวลาประมาณ 40 นาที จากนั้นออกมาให้สัมภาษณ์โดยแสดงจุดยืนที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบกับมติของคณะ กรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติให้ปรับลดเหลือ 11 โครงการรุนแรง และบอกว่าส่วนที่ตัดออกไปไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรง อย่างไรก็ตามจะทำเอกสารชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรให้คณะกรรมการ 4 ฝ่ายอีกครั้ง
หลังจากคำตอบของนายกฯ นายสุทธิ เปิดเผยกับโต๊ะข่าวเพื่อชุมชนว่า รู้สึก ไม่พอใจเนื่องจากไม่มีความชัดเจนทั้งข้อมูลและเอกสารที่รัฐบาลควรนำมาเปิด เผยเพื่อแสดงความโปร่งใสในการจัดทำ 11 ประเภทโครงการรุนแรง และถ้ายังไม่มีความคืบหน้า วันที่ 30 ก.ย.นี้ จะมีการชุมนุมใหญ่เพื่อปิดล้อมมาบตาพุดตามแผนเดิมต่อไป
นายกฯ ยันไม่ได้มีการไปเอื้อประโยชน์ให้ใคร
ทั้งนี้ เวลา 13.40 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ถึงการเดินทางเข้าพบนายอานันท์ ว่า ตนได้ไปเพื่อชี้แจงเรื่องดังกล่าว แต่ก็คงไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งทางคณะกรรมการฯ ก็ต้องยืนความเห็นของคณะกรรมการ 4 ฝ่าย รัฐบาลก็มีคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมฯ ที่มีอำนาจอยู่ และตนก็ยืนยันได้ว่าการเปลี่ยนแปลงไปจากที่คณะกรมการ 4 ฝ่ายเสนอมานั้นไม่ได้ทำให้มีปัญหาอะไรกับมาบตาพุด และบางเรื่องก็เข้มขึ้น บางเรื่องก็จะใช้แบบอื่น และบางเรื่องก็มีการผ่อนผันที่จะต้องมีการเสนอเป็นลายลักษณ์อักษรไป เพราะเป็นเรื่องเทคนิคที่ค่อนข้างยาว ซึ่งในการพบกันทุกคนก็เข้าใจ แต่ทุกคนก็มีหน้าที่
ผู้สื่อข่าวถามว่าคณะกรรมการ 4 ฝ่ายจะเข้าใจหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะกรรมการ 4 ฝ่ายก็มีความเห็นของตัวเอง แต่สิ่งที่มั่นใจได้คือไม่ได้มีการไปเอื้อประโยชน์ให้กับใคร
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะต้องทบทวน 11 ประเภทกิจการรุนแรงอีกหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่เห็นประเด็นที่จะต้องมีการทบทวน แต่ที่ได้พูดคุยกับคณะกรรมการ 4 ฝ่ายบางคนก็บอกว่า ทำไมไปเข้มงวดขึ้นในบางเรื่อง แต่ตรงนี้เป็นความคิดเห็นที่แตกต่างกันทางวิชาการ แต่ที่อยากจะย้ำคือ 11 ประเภทกิจการที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมฯ ประกาศไปนั้นต้องบวกอีก 2 ประเภทที่ไม่สามารถประกาศในรูปแบบนี้ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องพื้นที่ แต่ต้องประกาศในตัวพื้นที่อีกครั้งหนึ่งก็เป็น 13 ประเภท แล้วก็มีน้ำเกลือที่ได้ห้ามทำเด็ดขาด ซึ่งเข้มงวดกว่าก็เป็น 14 ประเภท ที่เหลือก็เป็นพวกแหล่งน้ำ ซึ่งเราก็ล็อคไว้ด้วยตัวเขื่อนที่ต้องทำตามมาตรา 67 วรรค 2 หรือล็อคด้วยการทำประตูระบายน้ำ ที่ต้องทำรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งก็เห็นว่าครอบคลุม ก็จะเหลือเตาเผาขยะติดเชื้อที่ล็อคไว้ว่า ต้องทำรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเฉยๆ และมีกฎหมายสาธารณสุขคลุมอยู่ ส่วนพวกปิโตรเคมี เราก็ไปเข้มงวดเรื่องขนาด แต่จะมีเรื่องของโรงไฟฟ้าพลังร่วม ที่ไปเพิ่มตรงนั้นก็เป็นไปตามที่ศึกษาทางวิชาการ
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายอานันท์ระบุว่า อยากให้รัฐบาลประเมินตัวเองว่าหลังจากการประกาศไปแล้วรัฐบาลจะได้รับการเชื่อถือน้อยลงหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนยินดี เพราะเราต้องไปคุยกับภาคประชาชนอยู่แล้ว และตนอยากจะย้ำคืองานที่ใหญ่และสำคัญกว่าสำหรับประชาชนใน พื้นที่คืองานที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับประกาศตัวนี้ เพราะประกาศตัวนี้แทบไม่ได้แตกต่างกันเลยระหว่างความคิดเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมฯ กับคณะกรรมการ 4 ฝ่าย แต่งานที่ต้องเร่งทำตอนนี้คือ การศึกษาเรื่องขีดความสามารถของพื้นที่ในการรองรับมลพิษและการทำพื้นที่กันชน ที่จะต้องทำพื้นที่กันต่อไป ซึ่งก็ต้องมีการเชื่อมโยงประสานกันและมอบหมายตัวบุคคลในคณะกรรมการ 4 ฝ่ายที่จะมาประสานงานกับหน่วยงานของรัฐ และเราก็จะให้รายงานความก้าวหน้าทุก 2 เดือน ซึ่งเป็นเรื่องหลักจริงๆ เพราะเป็นเรื่องความเดือดร้อนของประชาชน
“ตอนแรกที่รับเรื่องมาแล้วยังไม่ได้ประกาศ ก็มีเสียงต่อว่าต่อขานว่า ทำไมดึงและทำไมช้า ผมเองเคยตอบไปว่าถ้าผมประกาศไปเอกชนอาจจะเอาไปใช้เป็นเงื่อนไขในการยื่นต่อศาล วันนี้พอประกาศออกมาแล้ว เขาเอาไปใช้ในเงื่อนไขของศาลก็ย้อนกลับมาว่า ทำไมไปทำอย่างนั้นอย่างนี้ และความจริงแล้วหากประกาศไป 18 ประเภทกิจการที่ว่านั้นจะมีหลุดไปมากกว่านี้อีก เพราะฉะนั้นนี่เป็นการยืนยันอยู่แล้วว่า สิ่งที่เราตัดสินใจไปเป็นเรื่องที่ได้คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนที่มาบตาพุด อยากให้ไปดูในรายละเอียด และเอารายละเอียดไปให้ประชาชนทราบ ผมยังมั่นใจว่าถ้าไปถามประชาชน หรือเกษตรกร ที่อาศัยอยู่ในที่ต่างๆ อย่างกรณีที่จะไปทำโครงการชลประทาน ที่ไม่นับเขื่อนและประตูระบายน้ำนั้น หากถามประชาชนว่า จำเป็น หรือ เปล่าที่จะต้องทำตามมาตรา 67 วรรค 2 ผมมั่นใจเลยว่า หากพูดกันในรายละเอียดจริงๆจะเห็นชัดว่าเราได้คำนึงถึงประโยชน์ประชาชน” นายกรัฐมนตรี กล่าว