หมอวิชัยแนะปฏิรูประบบสุขภาพเริ่มต้นต้องชะลอลงทุนด้านสธ.ในเมืองหลวง
“นพ.วิชัย โชควิวัฒน” ชี้ หากจัดการระบบสุขภาพสำเร็จ เชื่อจะเป็นพลังปฏิรูปเรื่องอื่นของประเทศ ด้าน สว.รสนา เสนอทางออก ต้องเริ่มจากประชาชนหันพึ่งตนเอง
วันนี้(8 ต.ค.) เครือข่ายร่วมพัฒนาศักยภาพผู้นำการสร้างสุขภาวะแนวใหม่(คศน.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) จัดงานเสวนา “ปฏิรูปประเทศไทย : ปฏิรูประบบสุขภาพไทย” มี นพ.วิชัย โชควิวัฒน กรรมการปฏิรูปและกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศไทย และ นางสาวรสนา โตสิตระกูล สมาชิกวุฒิสภา ร่วมอภิปราย ณ ร้านนายอินทร์ ชั้น 3 สยามพารากอน กรุงเทพมหานคร
นพ.วิชัย กล่าวว่า ไทยถือเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาด้านสาธารณสุขใน 4 เรื่อง คือ 1.การวางแผนครอบครัว 2. การสร้างระบบบริการสาธารณสุข ที่มีโรงพยาบาลและสถานีอนามัยครอบคลุมเขตพื้นที่ทุกจังหวัด 3.เรื่องบุหรี่ ที่ทำให้มีผู้สูบจำนวนค่อยๆลดลงเรื่อยๆ และ 4.เรื่องโรคเอดส์ ที่รณรงค์ให้ควบคุมการใช้ถุงยางอนามัยเป็นไปอย่างแพร่หลาย
“ในอดีตปัญหาการเจ็บป่วย เป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้คนไทยสิ้นเนื้อประดาตัว จนกระทั้งมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า คนไทยได้ประโยชน์จากเรื่องนี้มาก แต่ประติมาทางด้านสาธารณสุข ซึ่งหากจะเปรียบก็เสมือนบ้าน ที่ยังสร้างไม่เสร็จ ยังมีปัญหาอยู่ ทั้งความเหลื่อมล้ำ ไม่เป็นธรรมในระบบสุขภาพ ระหว่างคนรวยและคนจน , การบริการระหว่างเมืองหลวงและชนบท ในเรื่องจำนวนบุคลากร เครื่องมือการรักษา และค่าเดินทาง, งบประมาณที่มุ่งใช้ทางด้านการรักษามากกว่าส่งเสริมสร้างสุขภาพ และการที่บุคลากรทางด้านสุขภาพมีอำนาจตัดสินใจการดูแลประชาชนเกินกว่าเหตุ”
สำหรับแนวทางการปฏิรูประบบสุขภาพที่ดีนั้น นพ.วิชัย กล่าวว่า 1.ต้องเริ่มจากการชะลอการลงทุนด้านสาธารณสุขในเมืองหลวง และกระจายลงสู่ภูมิภาคให้มากที่สุด 2.ความเหลื่อมล้ำระหว่างกองทุนสุขภาพ ต้องหมดไป ชะลอการเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการ เพราะที่ผ่านมากรมบัญชีกลาง มีการตัดสินใจที่ผิดมาโดยตลอด ถึงเวลาแล้วที่ต้องคิดใหม่ทำใหม่โดยสิ้นเชิง
"นอกจากนั้น ปฏิรูประบบสุขภาพต้องทำเรื่องป้องกันมากกว่ารักษา ทั้งเรื่องสร้างเสริมสุขภาพเพื่อป้องกันโรค ไม่เพียงดูเฉพาะวัคซีนหรือเครื่องมือในการรักษา แต่ต้องส่งเสริมให้ความรู้แก่ประชาชน และสุดท้าย ด้านช่องว่างระหว่างวิชาชีพ ต้องเร่งผลักดันกฎหมายต้องออกมาให้ได้ ซึ่งตรงนี้ก็ต้องฝากวัดใจนักการเมือง สมาชิกวุฒิสภา และ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ว่าจะออกมาได้หรือไม่ เพราะจะเป็นส่วนผลักดันที่สำคัญ"
กรรมการปฏิรูปและกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศไทย กล่าวต่อว่า จากประสบการณ์ทำงานสาธารณสุขที่สำเร็จ ต้องใช้ทฤษฎีสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขาเป็นตัวขับเคลื่อน เพื่อทำความรู้ให้ชัดเจน เนื่องจากประเทศไทย มักยึดไสยศาสตร์ หมอดู ซินแส จนเรียกว่า มั๊งศาสตร์ ดังนั้น ต้องขับเคลื่อนสังคมให้ประชาชนเห็นว่า ทุกอย่างเป็นปัญหา ต้องแก้ร่วมกัน ซึ่งที่สุดแล้วจะเกิดเป็นการผลักดันนโยบายออกมาเป็นกฎหมายได้
"หากปฏิรูประบบสุขภาพทำได้สำเร็จ จะทำให้ประชาชนมีสุขภาพดี ฉะนั้น เมื่อร่างกาย จิตใจ ปัญญาดี จะเป็นพลังปฏิรูปเรื่องอื่นๆ ของประเทศไทย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่เป็นเยาวชน ที่ต้องทำให้เกิดมีส่วนร่วม ทำให้เห็นว่า อนาคตอยู่ในมือเยาวชน สามารถแก้ปัญหาของประเทศได้ จะเป็นพลังที่มีอิทธิฤทธิ์และศักยภาพ "
ด้าน นางสาวรสนา กล่าวว่า ที่ผ่านมา สังคมไทยมุ่งเพียงการดูแลสุขภาพทางกาย อาจลืมไปว่าสุขภาพทางสติปัญญาสำคัญที่สุด การมีสัมมาทิฐิ จะเป็นการสร้างสุขภาวะที่สำคัญ ซึ่งหากทุกคน ลดความโลภ โกรธ หลง ลงได้ เอาเรื่องสุขภาพใจมาดูแลก่อน จะเป็นทางออก
“ถ้าจะมุ่งปฏิรูป ควรกลับมาสร้างให้ประชาชนหันมาพึ่งพาตัวเองให้ได้ ไม่ให้ระบบสาธารณสุขอยู่เพียงในมือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายของประชาชน จากเดิมที่พึ่งพาแพทย์แผนตะวันตก กลับมาสนใจแพทย์แผนไทยมากขึ้น เพราะตอนนี้สิ่งที่หายไป คือ คุณธรรมในใจของคนในวิชาชีพ ฉะนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำให้เกิดความเท่าเทียม มองระบบที่มีขีดจำกัด เปิดช่องว่างให้ประชาชนเข้ามา เป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาด้วยตนเองให้มากที่สุด”
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในงานมีการเปิดตัวหนังสือ “หลังประติมาสาธารณสุข 20 เบื้องหลังการขับเคลื่อนระบบสุขภาพไทย” เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ แนวคิด วิธีการทำงานของบุคคลที่คลุกคลีอยู่กับแวดวงสาธารณสุขของไทย ที่สร้างระบบสาธารณสุขไทยให้สมบูรณ์ เพื่อเป็นตัวอย่างและเป็นบทเรียนแก่คนรุ่นหลัง อาทิ นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ผู้สร้างคุณูปการอเนกอนันต์แก่การสาธารณสุขไทย , นพ.บรรลุ ศิริพานิช ผู้เปิดศักราชใหม่แก่ผู้สูงอายุในสังคมไทย , นพ.อำพล จินดาวัฒนะ ผู้พลิกโฉมระบบสุขภาพของคนไทย เป็นต้น