คสป. ตั้งสมัชชาเฉพาะประเด็นทบทวนดัชนีชี้วัดประเทศใหม่ แทนจีดีพี
เล็งใช้ภูฏานเป็นแม่แบบ โชว์ความคืบหน้าคุยปัญหากับผู้ด้อยโอกาส-สตรี-แรงงาน-ท้องถิ่น ขณะที่ภาคีภาคประชาชนตื่นตัวไม่แพ้กัน จัดเวทีย่อย เดินสายรับฟังความเห็นทั่วประเทศ
วันนี้ (29 ก.ย.) ที่เรือนธารกำนัล บ้านพิษณุโลก กรุงเทพมหานคร คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป(คสป.) ชุดที่มี นพ.ประเวศ วะสี เป็นประธาน ประชุมคณะกรรมการสมัชชาครั้งที่ 6/2553 ภายหลังการประชุม นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ ประธานคณะทำงานเครือข่ายวิชาการเพื่อการปฏิรูป เปิดเผยผลการประชุมา ประเด็นหลักที่มีการพูดคุยกันมากในวันนี้ คือ วิธีการพัฒนาประเทศ โดยเสนอให้ใช้ดัชนีชี้วัดความสุข แทนการชี้วัดด้วย GDP และ เงินทอง เพียงอย่างเดียว ซึ่งขณะนี้ทางคณะกรรมการได้มีการจัดตั้งสมัชชาเฉพาะประเด็น เพื่อทบทวนบทเรียนจากต่างประเทศ เน้นที่เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ประชาธิปไตย เป็นสำคัญ โดยตัวอย่างที่พูดคุยคือ โลกที่เป็นสุข ดัชนีชี้วัดความสุขที่ทางประเทศภูฏานใช้เป็นแนวทาง
สำหรับการรายงานความคืบหน้าและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ 14 ชุดย่อย นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องที่นำเสนอมาก คือ เรื่องผู้เสียโอกาส , ท้องถิ่น , กลุ่มสตรี และกลุ่มแรงงาน โดยเริ่มจากจากเครือข่ายผู้เสียโอกาสและคนจน มีข้อเสนอเรื่องคนไร้สัญชาติ คนไทยพลัดถิ่น ของกลุ่มชาติพันธ์ต่างๆ ซึ่งต้องการให้มีกฎหมายมารองรับสถานภาพของกลุ่มต่างๆ รวมไปถึงมติคณะรัฐมนตรีที่รับรองพื้นที่วัฒนธรรมพิเศษ เช่น ชาวเล กะเหรี่ยง ชาวเขา ที่ยังไม่มีการดำเนินงาน ก็ต้องการเร่งเป็นรูปธรรมมากขึ้น
“ส่วนเครือข่ายสตรีนั้น เสนอให้มุ่งเน้นที่การปรับแก้กติกา การทำเงื่อนไขให้สตรีมีบทบาทในเรื่องการเมืองมากขึ้น ทั้งการเมืองท้องถิ่น และระดับประเทศ ,เรื่องสตรีกับกระบวนการยุติธรรม , ความรุนแรง การจัดสรรทรัพยากร ซึ่งได้พูดคุยกันเพิ่มเติมว่า กลุ่มสตรีน่าจะมีการรวมตัวจัดตั้งเป็น สภาผู้หญิงกับประชาธิปไตย เพื่อเป็นการตั้งกลไกการทำงานเฉพาะหน้าเพื่อที่จะสานงานต่อเนื่อง ไม่เพียงการปฏิรูปประเทศไทยใน 3 ปี แต่จะไปเชื่อมโยงกับกองทุนพัฒนาการเมืองด้วย”
นพ.สมศักดิ์ กล่าวถึงเครือข่ายของภาคท้องถิ่น ได้นำเสนอแผนการดำเนินการร่วมของ 3 สมาคม คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) องค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.) และเทศบาล ตกลงร่วมกันในเบื้องต้นจะรวมตัวกันลงขัน ตั้งสถาบันเพื่อพัฒนาศักยภาพของท้องถิ่น เพื่อพัฒนาศักยภาพในการบริหารพื้นที่ ให้ชาวบ้านได้ประโยชน์ เชื่อมโยงกับท้องถิ่น ชุมชน
“เรื่องสุดท้าย คือ ข้อเสนอจากเครือข่ายแรงงานให้สร้างกลไกเพื่อให้กลุ่มแรงงานกินดีอยู่ดี โดยการจัดตั้งธนาคารแรงงาน เพื่อให้ผู้ใช้แรงงานเข้าถึงแหล่งเงินกู้โดยไม่ต้องพึ่งเงินกู้นอกระบบ และจากแนวคิดของธนาคารการเกษตรและสหกรณ์ เพื่อการเข้าถึงแหล่งเงินกู้เกษตรกรเช่นเดียวกัน โดยผ่านกองทุนในชุมชน หรือกลไกชุมชน โดยใช้ผู้หญิงเป็นกลไกสำคัญในการจัดการและการใช้เงินกู้อย่างถูกวิธี ”
นพ.สมศักดิ์ กล่าวต่อว่า นอกการประชุมคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปในส่วนกลางแล้ว พบว่า การตื่นตัวของภาคประชาชนในต่างจังหวัดมีความคึกคักมาก โดยในช่วงเดือนตุลาคมนี้ กลุ่มภาคีจะมีการประชุมกันทั้งสิ้น 6 ครั้ง เดือนตุลาคม คือ วันที่ 1-2 ต.ค. จัดโดยสมัชชาคนใต้ , 6 ต.ค. ที่ จ.อำนาจเจริญ เรื่องปฏิรูปประเทศไทยชุมชน , 6-7 ต.ค. วันรวมญาติชาติพันธ์ชาวเล ,16-17 ต.ค. เรื่อง สมัชชาประชาธิปไตยชุมชน ที่ศูนย์ราชการ , 4 ต.ค. และ 15 ต.ค. ของเครือข่ายผู้หญิงพลิกโฉมประเทศไทย
“ ข้อสรุปที่จะเป็นความหวังแก่ประชาชน คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นข้อสรุปเบื้องต้นว่าเรื่องสำคัญมีอะไรบ้างเท่านั้น แต่ไม่อยากให้คาดหวังว่า งานของคณะกรรมการปฏิรูปต้องฝากข้อเสนอเพื่อให้รัฐบาลช่วยแก้ไข เพราะการเมืองขณะนี้ก็ดูไม่แน่นอน เช่น หาก ธ.ค.นี้มีการเลือกตั้งใหม่ การทำงานอาจเปลี่ยนไป ดังนั้น หลักการปฏิรูปที่วางไว้ควรเป็นเรื่องที่สังคมยอมรับและกำหนดประเด็นร่วมกันจากประชาชน โดยการปฏิรูปประเทศไทยอย่ามุ่งหวังที่ 2 คณะที่มี นพ.ประเวศ วะสี และนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธานเท่านั้น แต่ต้องหวังที่ตัวประชาชนเป็นสำคัญ”
ด้านนางปรีดา คงแป้น ผู้จัดการมูลนิธิชุมชนไท กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของเครือข่ายผู้นำต่างๆ เพื่อสนับสนุนให้มาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในการปฏิรูปประเทศไทยครั้งนี้คึกคักมาก และมีการเกาะติดกับปัญหาตนเอง ซึ่ง คสป. จะช่วยคิดเชิงระบบ เพื่อให้เจ้าของหรือตัวปัญหาลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวเอง เข้าไปหนุนช่วย และประมวลเรื่องราวมาสู่ระดับนโยบาย
ส่วนนางเรวดี ประเสริฐเจริญสุข สมาชิกสภาพัฒนาการเมือง และกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน มูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน กล่าวว่า นอกจากจะร่วมกันปฏิรูปประเทศไทย ยังมีการปฏิรูปการทำงานเพื่อให้เจ้าของเรื่องหรือคนที่เกี่ยวข้อง ทั้งโดยตรงและอ้อม เพื่อกำหนดทิศทางการทำงานที่จะท้าทายคือ ทำอย่างไรให้เป็นประเด็นที่คนในสังคมมีฉันทามติเห็นคล้องกัน และประชาชนเป็นแกนหลักที่จะเปลี่ยนแปลงแต่ละกลุ่มที่เป็นปัญหาเฉพาะ ทั้งการเหลื่อมล้ำที่มีอยู่ โดยไม่ตอกย้ำ และเน้นการสร้างภารกิจร่วมกันทั้งประเทศ
ขณะที่นางเตือนใจ ดีเทศน์ อดีตวุฒิสมาชิก และอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กล่าวว่า คณะกรรมการ คสป.จะเป็นกลไกช่วยให้การแก้ปัญหาไม่ต้องแก้จากศูนย์ ซึ่งอาจไปเชื่อมโยงกับคณะกรรมการที่ทำงานอยู่แล้ว เช่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน คณะกรรมาธิการวิสามัญ แม้กระทั่งการเชื่อมโยงกับองค์กรต่างประเทศ ซึ่งทุกอย่างจะช่วยให้เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนง่ายขึ้น