"คปร." ตบเท้ารับฟังข้อเสนอปฏิรูปนัดแรก ยันไม่ทิ้ง "เสียงปชช."
หลังรับฟังข้อเสนอเวทีแรก "อานันท์" ระบุชัดคปร.ทำทุกเรื่องไม่ได้ ลั่น "ต้องดูกระเป๋า-ไม่มีอำนาจบริหาร"พร้อมยืนข้างปชช. เผยที่ผ่านมา "ปฏิรูปแค่ฉาบฉวย"
วันนี้ (17 ต.ค.) คณะกรรมการปฏิรูป(คปร.) จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ 1 “ลดอำนาจรัฐ ขจัดความเหลื่อมล้ำ” ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยนายอานันท์ ปันยารชุน ประธานคณะกรรมการปฏิรูป กล่าวเปิดการประชุมตอนหนึ่งว่า กระบวนการปฏิรูปนั้นมีมาช้านาน และอยู่ในหัวใจของคนในสังคม นับตั้งแต่ปี 2475 ปี 2516 ปี 2519 ซึ่งการปฏิรูปเป็นธรรมชาติ เช่น ในครอบครัวก็ยังคิดถึงการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ระบบ พฤติกรรม กลไก เพื่อมุ่งนำไปสู่ชีวิตที่ดี มีคุณค่า มีความหมาย และชีวิตที่ก่อให้เกิดประโยชน์ในส่วนร่วม
“การจะนำไปสู่จุดนั้น มีหลายวิธี มีทั้งการสู้รบฆ่าฟัน ทะเลาะวิวาท แต่วิถีทางที่ดีที่ต้องคำนึงถึงที่ดีที่สุด คือ สันติ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ แบ่งเบาภาระ แบ่งปันความคิดเห็น ความเมตตา กรุณา มีความสุข”
นายอานันท์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาการปฏิรูปสำเร้จบ้างไม่สำเร็จบ้าง สำเร็จบางประเด็นไม่สำเร็จประเด็นใหญ่ๆ การปฏิรูปที่ผ่าน เป็นการปฏิรูปที่ฉาบฉวยมากกว่า ดังนั้งจึงอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง แบบไม่เอารัดเอาเปรียบ ต่อไป วิธีคิดของเรา คือ การอยู่ร่วมกันได้ รักษาจารีตประเพณี ค่านิยมเก่า เอาความรู้เพิ่มคุณค่า ของค่านิยมใหม่ๆในสังคมไทย สังคมสมดุล สมดุลในความคิด อุดมการณ์ และในผลประโยชน์ มีความสุข ระหว่างวิถีชีวิต เรียบง่าย วิถีชีวิตพอเพียง ดังเช่นที่เคยเป็นมา ต่อต้านชีวิตใหม่ๆ เช่น บริโภคนิยม การเจริญเติบโตทางอุตสาหกรรม ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอื่นๆ
“คปร. และ คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป(คสป.) ไม่ได้มาเพื่อมาชี้นำ หรือบอก เรามาเพื่อมารับข้อมูลและอยากฟังข้อเท็จจริง อยากฟังความคิดเห็น อยากฟังข้อเสนอ เวทีนี้ไม่ได้จัดเพื่อกรรมการทั้งหลาย เรามาแบ่งปันความรู้ ความคิดกันมาหาทางออกร่วมกัน คณะกรรมการเป็นแค่กลไกชิ้นหนึ่ง”
ประธานคณะกรรมการปฏิรูป กล่าวต่อว่า ประชาชนมักจะต้องการการโอนถ่ายอำนาจ ที่ผ่านมาเป็นการโอนถ่ายอำนาจที่ไม่เป็นจริงเท่าไร ขณะที่การศึกษายังไม่พร้อม ต้องมีพี่เลี้ยง มีผู้ดูแลให้คนแนะนำ อาจจะได้ยินจนเบื่อมากว่า 80 ปีว่า เมื่อไรชาวบ้านจะโตสักที ชนชั้นผู้นำ ชนชั้นปกครองเมื่อไหร่จะเห็นเราเป็นมนุษย์คนหนึ่งในสังคม นอกจากการมองว่า จบอะไรมา ฐานะการเงินอย่างไร ซึ่งถึงเวลาแล้วต้องมองข้ามสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องตัวตน หรือชนชั้น แต่เป็นเรื่องของการอยู่ร่วมกัน ช่วยกันแก้ปัญหา และความไม่ยุติธรรมในสังคม
นายอานันท์ กล่าวถึงความเหลื่อมล้ำมีทุกแห่งในโลก จะหนักเบาอีกเรื่อง แต่ตราบใดมนุษย์เหนือกว่าสัตว์เดรัจฉาน มีปัญญา ฝักใฝ่ในสิ่งที่ดี เหล่านี้แก้ไขได้ไม่ยาก แต่ต้องไปแก้ที่ตนเอง ทั้งนี้ ความยากจนไม่ใช่ต้นเหตุ เป็นเพียงปลายเหตุเท่านั้น เป็นผลพวงของความเหลื่อมล้ำในมิติอื่นๆ อาทิ โอกาส สิทธิ รายได้ ฉะนั้น หากคนไทยทุกคนอยากเห็นความร่มเย็น ต้องมีความภาคภูมิใจในตนเอง กำกับดูแลวิถีชีวิตคนเอง ไม่ถูกรัฐ ไม่ถูกผู้ใช้อำนาจรัฐ และกลไกของรัฐอื่นๆ กระทำ นอกจากนั้นผู้ใช้อำนาจรัฐต้องรับผิดชอบต่อความไม่ชอบมาพากล กลับมาทบทวนว่า เราบกพร่องในหน้าที่หรือไม่ รวมทั้งประชาชนชาวบ้านทั้งหลายก็ต้องแสดงความรับผิดชอบเช่นกัน ไม่เพียงแต่เรียกร้องสิทธิ แต่สิทธินั้นต้องควบคู่กับหน้าที่และความรับผิดชอบด้วย
ประธานคณะกรรมการปฏิรูป กล่าวด้วยว่า การปฏิรูปเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปประเทศ ทุกคนมีสิทธิ มีความรับผิดชอบในฐานะเจ้าของประเทศ จะเข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงจังและสร้างสรรเพราะความรู้ ประสบการณ์ และเรื่องความพร้อมอย่างเดียวไม่พอ ต้องเตรียมคนในสังคมให้พร้อมด้วย และเมื่อประชาชน 64-65 ล้านคนพร้อม จะได้อำนาจกลับคืนมาก็สามารถนำอำนาจนี้ไปใช้ประโยชน์ได้ต่อไป
จากนั้นมีการเสวนา “จัดสรรอำนาจใหม่ เพื่อทรัพยากรไทยที่ยั่งยืน” และเปิดเวทีระดมรับฟังความต่อการปฏิรูปประเทศไทย และในช่วงบ่ายมีการระดมความคิดเห็น 5 กลุ่มย่อยต่อการปฏิรูปประเทศไทยเพื่อพัฒนาข้อเสนอต่อสาธารณะ
โดยในช่วงเย็นตัวแทนกลุ่มย่อยทั้ง 5 กลุ่ม ได้นำเสนอผลการระดมความคิดเห็นต่อประธานกรรมการปฏิรูป ดังนี้
นายประยงค์ ดอกลำใย ตัวแทนกลุ่มที่ 1 “การสร้างความเป็นธรรมในการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน” กล่าวว่า ประเด็นการสร้างความเป็นธรรมในที่ดินทำกิน สมาชิกกลุ่ม เป็นสมาชิกจากชุมชนท้องถิ่น มีกลุ่มประมงพื้นบ้านและในเมือง อยากเป็นเป้าหมายปฏิรูปประเทศไทย เป้าหมายสูงสุดคือการกระจายที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน มีแนวทาง คือ 1.ต้องการให้มีกฎหมายภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้า คิดตามขนาดถือครองที่ดิน ก้าวหน้าจากการใช้ประโยชน์จากที่ดินด้วย กรณีที่ดินทิ้งร้างต้องมีการระบุไว้ในกฎหมายให้เก็บภาษีเท่าตัวทุกๆ 2 ปี เป็นต้น 2.ให้มีการจัดตั้งธนาคารที่ดิน ใช้เงินภาษีที่ดิน เพื่อให้เป็นกลไกล สำคัญ รวมถึงเกษตรกรรายย่อย ที่ต้องการมีที่ดิน
"3.ยกระดับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยโฉนดชุมชนให้ออกเป็นพระราชบัญญัติฯ 4.ให้มีการแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายหรือข้อขัดแย้ง โดยเฉพาะหมวดที่ว่าด้วยสิทธิชุมชน โดยเฉพาะม.66 และ 5.การปฎิรูปกระบวนการยุติธรรม กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคดีคนจน โดยเปลี่ยนจากระบบกล่าวหาเป็นระบบไต่สวนโดยให้ยึดหลักฐานประชาชนและประวัติศาสตร์ประชาชนเป็นหลัก"
ส่วนเรื่องเร่งด่วน นายประยงค์ กล่าวว่า ให้ยุติการจับกุมชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในที่ดินทับซ้อน เพราะไม่อยากให้มีคดีใหม่เกิดขึ้น และให้พิจารณาออกกฎหมายนิรโทษกรรมคนจนที่ถูกดำเนินคดีที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เช่น คดีโลกร้อน รวมทั้งคดีทางแพ่งที่เรียกค่าเสียหายจากชาวบ้านไร่ละ 1.5 แสนบาท ฯลฯ
สำหรับเรื่อง “คืนการศึกษาแก่ประชาชน” นางปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร ตัวแทนกลุ่มที่ 2 กล่าวว่า ที่ประชุมเสนอให้หน่วยงานรัฐให้ความสำคัญกับระบบการศึกษาทางเลือก โดยเฉพาะหลักสูตรวิถีชุมชน พร้อมเสนองบประมาณควรมาจากหลายแหล่ง เช่น สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ฯลฯ โดยให้ดึงสถาบันชุมชน เช่น วัด มัสยิด ปราชญ์ชาวบ้าน อปท. เอ็นจีโอ เข้าร่วมจัดการศึกษา โดยเฉพาะให้อบต.เข้ามาจัดการ
นางปิยาภรณ์ กล่าวอีกว่า 2. ปรับระบบโครงสร้างการศึกษาลดบทบาทกระทรวงศึกษาธิการลง ยกเลิกระบบการแข่งขัน ทั้งในอาชีพครูและนักเรียน ส่วนระบบประเมินไม่ควรบั่นทอนขวัญและกำลังใจ ควรประเมินแบบเสริมพลัง ปรับมุมมองการปฏิรูปการศึกษาให้เป็นการเรียนรู้ของคนในสังคม รวมทั้งปฏิรูปสื่อควบคู่กันไปด้วย 3.ให้รัฐเปิดโอกาสเข้าถึงการเรียนรู้ของคนจำนวนมาก รวมถึงหาช่องทางใหม่ในการเข้าถึงการศึกษา เช่นเปิดการศึกษาออนไลน์ 4.เพิ่มหลักสูตรวิชาพลเมืองที่ดี (Civil Education) ศาสนา ศีลธรรม เพื่อให้นักเรียนรู้บทบาทหน้า พลเมืองที่ดี ต่อประเทศ และประชากรโลก
ขณะที่นายชาลี ดอยสูง ตัวแทนกลุ่ม 3 เรื่อง “เสริมพลังและสร้างสวัสดิการแรงงานไทย” กล่าวว่า ในที่ประชุมเสนอ 5 ประเด็นใหญ่ คือ ค่าจ้าง ประกันสังคม สวัสดิการ อำนาจการต่อรอง ความเป็นธรรมระหว่างลูกจ้างและนายจ้าง โดยมี 10 ประเด็นเสนอ ได้แก่ 1.สร้างอำนาจต่อรองในการจัดตั้งสหภาพแรงงาน 2. ค่าจ้างที่เป็นธรรม วันละ 421 บาท ค่าจ้างขั้นต่ำ 250 บาทสำหรับแรงงานแรกเข้า 3.ปฏิรูปสำนักงานประกันสังคมให้เป็นองค์กรอิสระ โปร่งใส มีผู้แทน นายจ้าง ลูกจ้าง และภาครัฐเข้าไปบริหารงาน 4. ตั้งกองทุนประกันความเสี่ยงของนักลงทุนข้ามชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย กรณีไม่จ่ายเงินชดเชยให้ลูกจ้าง
“5.ให้รัฐออกกฎหมายให้ประชาชนที่มาทำงานนอกพื้นที่ ให้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตพื้นที่ที่ในสถานประกอบการของตนได้ 6.แก้ไข พ.ร.บ.ความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อมในการทำงาน เพื่อเสริมความปลอดภัยให้มากขึ้น 7.ยกเลิกนโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะสาธารณูปโภคที่เป็นคุณกับประชาชน ให้กลับมาเป็นสมบัติของชาติและประชาชนดังเดิม 8.รัฐต้องจัดตั้งศูนย์เลี้ยงเด็กของผู้ใช้แรงงานในย่านอุตสาหกรรม 9.รัฐต้องคุ้มครองแรงงานนอกระบบ เช่น คนขับแท็กซ๊่ มอเตอร์ไซรับจ้าง รับงานไปทำที่บ้าน ซึ่งขณะนี้มีมากถึง 20 ล้านคนที่รัฐยังไม่ได้ให้การคุ้มครอง และ10.ให้รัฐคุ้มครองแรงงานข้ามชาติ ให้มีการขึ้นทะเบียนป้องกันการถูกเอารัดเอาเปรียบ” นายชาลี กล่าวและว่า ส่วนประเด็นเร่งด่วนเสนอให้ดำเนินการเรื่องค่าจ้างที่เป็นธรรมและสร้างหอพักในสถานประกอบการ
ส่วนนางจินตนา แก้วขาว ตัวแทนกลุ่มที่ 4 เรื่อง “อำนาจของชุมชนในการพัฒนา” กล่าวว่า มีข้อเสนอประเด็นดังนี้ 1.ให้ยกเลิกแผนพัฒนาชายฝั่งภาคใต้ และแผนพีดีพี เพราะเป็นการทำลายฐานทรัพยากร และสร้างความขัดแย้งในชุมชน 2. โครงการพัฒนาขนาดใหญ่ต้องเปิดเวทีสาธารณะรับฟังความเห็นจากประชาชนอย่างแท้จริงก่อนทุกครั้ง 3.ให้อำนาจชุมชนจัดสรรทรัพยากรของตนเอง ประมง หาด เขา ทะเล ถ้ำ 4.รัฐและกลุ่มทุนต้องเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ที่เกี่ยวข้องกับโครงการพัฒนาโดยไม่อ้างความมั่นคงด้านการลงทุน ยกเว้นข้อมูลที่เป็นต้นทุน และ 5.ให้รัฐตัดงบจากส่วนกลาง กระจายให้ท้องถิ่นจัดการงบประมาณเอง 6.ผลักดัน เรื่องสิทธิการเลือกตั้ง ในที่ทำงาน และส่วนข้อเสนอเร่งด่วน คือ ให้รัฐเร่งรัดจัดการคดีของชาวบ้านที่ถูกจับกุมอย่างไม่เป็นธรรม
นางจันทร์ กั้วพิจิตร ตัวแทนกลุ่มสุดท้าย เรื่อง “คุณภาพชีวิตของคนในเมือง” กล่าวถึงข้อเสนอว่า 1.รัฐควรให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการสิ่งแวดล้อม เช่น ชุมชนที่อยู่ริมคลอง ฯลฯ 2.ที่ดินของรัฐ ที่สาธารณะ ที่วัด สุเหร่า ควรเปิดให้ชาวบ้านใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐ 3.ให้ทำประชาพิจารณ์โครงการการใหญ่ๆ ชาวบ้านต้องรับรู้ และมีส่วนร่วม และ4.ให้รัฐแก้ไขข้อจำกัดบางประการของ พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร
ช่วงท้าย นายอานันท์ กล่าวภายหลังรับฟังตัวแทนการเสวนากลุ่มย่อยทั้ง 5 กลุ่มว่า คปร.ได้พบคำตอบที่หลากหลาย ที่วิธีคิดจากทุกคนไม่ได้แตกต่างกัน ส่วนใหญ่ คิดอย่างขนานกันไป โดยกรอบการการทำงานที่ได้เสนอออกไปเบื้องต้นนั้น เป็นกรอบการทำงานชั่วคราว สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ซึ่งจากวันนี้ไปยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม ซึ่งในระยะ 4 สัปดาห์หน้า จะมีการจดบันทึก สรุปข้อมูลในรูปแบบที่กะทัดรัดต่อไป
“ตอนนี้ กระบวนการยังไม่ได้เสร็จสิ้น เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ซึ่งต้องการให้ผู้แทนของแต่ละกลุ่มติดต่อ กับคณะกรรมการปฏิรูปต่อไป เพราะหากเมื่อถึงจังหวะหนึ่ง จะได้สร้างตุ๊กตาบางอย่างขึ้นมาได้ จะเป็นการพูดถึงสาระเนื้อหาในวันนี้ สุดท้ายจะเป็นอย่างไร ไม่มีข้อยุติล่วงหน้า อาจจะยุติชั่วคราว แต่ข้อมูลจะพัฒนาไปเรื่อยๆ ขอย้ำว่า เสียงของชาวบ้าน เสียงในพื้นที่ ทาง คปร.จะรับฟังตลอดเวลา”
ประธานคปร. กล่าวด้วยว่า คปร. และ คสป.เป็นกลไกอิสระ มาจากการเสนอของสมัชชา ความเป็นอิสระ ไม่ได้เป็นทนายให้รัฐบาล ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล เราจะเสนอต่อสังคม ส่งสำเนาแก่รัฐบาล ให้เข้าใจ ว่าการปฏิรูปไม่ใช้คน 40-50 คนมานั่งเขียน แต่ต้องการคนกว่าหมื่นแสนคนให้ตื่นตัวและอยากเป็นเจ้าของการปฏิรูป ซึ่งคณะกรรมการเป็นเพียงช่องทางส่งผ่าน เป็นกลไก นายของเราไม่ใช่รัฐบาล แต่เป็นประชาชน
“ปัญหาเมืองไทย มีมากร้อยพันประการ ทำทุกอย่างไม่ได้ ต้องระมัดระวัง ทำอะไรต้องคำนึงถึงในกระเป๋า ในกระเป๋าเราไม่มีอำนาจการบริหาร หัวใจ คือ ลดอำนาจการบริหารของรัฐ” ประธานคปร.กล่าว