ยุรัฐลุยถอนขนห่าน เก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง แบบให้เป็น"ภาระ"
ผศ.อิทธิพล ศรีเสาวลักษณ์ ชี้ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ควรเข้ามาช่วยลดแรงจูงใจการสะสม-ถือครองที่ดิน แต่การเก็บในอัตราแบบที่ร่างไว้ในกม. เก็บน้อย เชื่อคนรวยไม่สะเทือน พร้อมเสนอเก็บภาษีแบบสร้าง "ภาระ"
วันที่ 17 พฤศจิกายน ณ ห้องประชุม LT.1 สถาบันกฎหมายภาษีศึกษา คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดสัมมนาวิชาการเรื่อง ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมในสังคมได้จริงหรือ ? โดยศ.วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะกรรมการปฏิรูป กล่าวว่า สังคมไทยเริ่มหันมาให้ความสนใจ และพยายามพูดถึงความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะความเหลื่อมล้ำเรื่องรายได้ แต่คำถาม คือ เราจะมีการกระจายรายได้ ทำอย่างไรให้ท้องถิ่นมีงบประมาณของตนเองมากขึ้น
"การกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น มีอยู่หลายวิธี และหลากหลายมาตรการ เพื่อไปเพิ่มให้กับคลังท้องถิ่น ภาษี ก็ถือเป็นมาตรการหนึ่งที่จะเป็นตัวช่วยในเรื่องการกระจายรายได้"
ขณะที่ผศ.อิทธิพล ศรีเสาวลักษณ์ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า บ้านเมืองเรามีปัญหาในเรื่องของการกระจายทรัพยากรไปสู่มือประชาชน จะมีการพูดตลอดมาว่า ทรัพยากรถูกกระจายอย่างไม่เหมาะสม โดยเฉพาะที่ดิน ซึ่งจะพบว่า สัดส่วนที่ดินที่รัฐถือครองมีถึง 57.26% หากจะถามว่า ดีหรือไม่ดี ก็ตอบว่า ดี เพราะรัฐสามารถนำที่ดินมาบริหารจัดการได้
ผศ.อิทธิพล กล่าวถึงความเหลื่อมล้ำเรื่องที่ดินนั้น ยังคงมีอยู่ มีประชาชนเป็นแสนเป็นล้านคน ได้รับความเดือดร้อนจากเรื่องนี้ เพราะที่ดิน ถือเป็นฐานทรัพยากร ที่เมื่อมีแล้วจะเป็นทุนในการประกอบอาชีพ ที่ดินสามารถยกฐานะจากการไร้ทรัพย์สิน ต่อยอดให้กับครอบครัวได้ สาเหตุหนึ่งของความยากจน คือ ไร้ที่ดินทำกิน ฉะนั้น การมีที่ดินก็จะไม่จน
“การที่จะสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำได้นั้น ต้องทำให้ที่ดินอยู่ในมือของคนจำนวนมาก ปัญหาทุกวันนี้เรื่องที่ดินได้เปลี่ยนรูปแบบไปแล้ว จากประชาชนไร้ที่ดินทำกิน อยู่ในที่ดินของรัฐ กลายเป็นปัญหาที่ดินของรัฐกับเอกชนเหลื่อมเกยซ้อนกันอยู่ เพราะการประกาศที่ดินของรัฐ ในกฎหมายต่างๆ นั้น เมื่อทำเสร็จแล้วมีหลายเส้นไปทับซ้อนกัน ยกตัวอย่าง เฉพาะจังหวัดอุทัยธานี 5,000 กว่าแปลงอยู่ในเขตป่าสงวน ถามว่า ลิดรอน สิทธิ์หรือไม่ และในเชิงนโยบายนั้นควรต้องทำอย่างไร”
อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวอีกว่า มีข้อมูลจำนวนผู้ที่อยู่อาศัยในที่ดินของรัฐ แบ่งเป็น ป่าสงวนแห่งชาติ 450,000 ราย เนื้อที่ 6.4 ล้านไร่,อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์ฯ 185,916 ราย เนื้อที่ 2,243,943 ไร่,ที่ราชพัสดุ 161,932 ราย เนื้อที่ 2,120,196 ไร่ และที่สาธารณะ 1,154,867 ไร่
“ภาษีบ้านเรามีความลักลั่น และหลากหลาย ภาษีเป็นเครื่องมือสามารถใช้ได้กับบางเรื่อง เช่น เอกชนที่มีจำนวนมากถือครองที่ดินไว้ แต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฯ ควรที่จะเข้ามาช่วยลดแรงจูงใจการสะสม และถือครองที่ดิน ทำให้คนเหล่านั้นปล่อยที่ดินออกมา เพื่อให้คนจำนวนมากไม่ต้องบุกรุกเข้าไปอยู่ในป่า บุกรุกที่รัฐ แต่ถามว่า เครื่องมือทางภาษีตัวนี้จะเกิดสิ่งเหล่านี้หรือไม่ ขณะนี้ก็ยังมีข้อถกเถียงกันอยู่" ผศ.อิทธิพล กล่าว และว่า หากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฯ เก็บในอัตราแบบที่ร่างไว้ คนรวยก็ยังคงถือครองที่ดินต่อ เพราะไม่ได้ไปถึงกระตุกให้คนมีที่ดินจำนวนมากๆ ปล่อยที่ดินออกมา ดังนั้น เพื่อให้ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฯ ทำให้เกิดการกระจายการถือครองที่ดิน การเก็บภาษีต้องเก็บแบบสร้างภาระ แต่ภาษีตัวนี้ยังไม่ใช่ภาระ
ส่วนรศ.ดร.สุเมธ ศิริคุณโชติ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฯ เกิดยาก และโดยตัวภาษีเองก็ยุ่งยาก ทั้งแก้ไขเปลี่ยนแปลงชื่อ วิธีการคำนวณ อีกทั้งยังมีอะไรที่ไม่รู้อีกมาก จึงมีข้อเสนอภาษีตัวนี้ควรมีการคิดเชื่อมโยงถึงภาษีตัวอื่นๆ ด้วย เช่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีธุรกิจเฉพาะ อากรแสตมป์ เป็นต้น เพื่อให้คนในสังคมยอมรับ
สำหรับฐานภาษี รศ.ดร.สุเมธ มีข้อเสนอให้เก็บในเต็มเพดานในอัตราสูงสุด จากนั้นเป็นหน้าที่ของท้องถิ่นไปลดหย่อนกันเอาเอง