นายกฯ ประกาศแผนปฏิบัติการประชาวิวัฒน์ 9 มาตรการ
เอาใจแรงงานนอกระบบ แท็กซี่ มอเตอร์ไซด์รับจ้าง หาบเร่แผงลอย คุยใช้งบเพียง 2 พันกว่าล้าน ได้ผลเป็นมูลค่าสูงกว่า 10 เท่า เตรียมเสนอ ครม.อนุมัติ11 ม.ค.นี้ เล็งตั้งคณะทำงานเกาะติด ของขวัญ 9 ชิ้น ให้มือประชาชน
วันที่ 9 มกราคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์ ผ่านทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง 11 และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เป็นครั้งที่ 102
โดยช่วงที่ 2 ของรายการ นายกรัฐมนตรี แถลงถึงมาตรการร่วมเดินหน้าปฏิรูปประเทศไทย ในส่วนกระบวนการประชาวิวัฒน์ โดยมีวาระเร่งด่วน 3 เรื่อง ก็คือเรื่องของเศรษฐกิจนอกระบบ เรื่องของค่าครองชีพ และเรื่องของความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สิน ใช้เงินงบประมาณทั้งหมดประมาณ 2,000 กว่าล้านบาท ในขณะที่ประโยชนที่เกิดขึ้นกับประชาชนนั้นเป็นเงินถึงกว่า 20,000 ล้านบาท
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องแรก สำหรับประชาชนกว่า 10 ล้านคน ซึ่งไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม สิ่งที่กำลังจะมอบเป็นของขวัญ คือ กำลังจะมีการปรับในเรื่องของกฎหมาย กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยจะให้มีผลตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถสมทบเงินไม่เกิน 100 บาทต่อเดือน แล้วก็สามารถเข้ามาอยู่ในระบบประกันสังคมได้ โดยจะเปิดทางเลือก มีทั้งที่เป็นการสมทบเงิน ทั้งหมดนี้ รวมทั้งในส่วนของรัฐบาลด้วย 100 บาทหรือ 150 บาทต่อเดือน แล้วก็จะได้สิทธิประโยชน์ในเรื่องของการชดเชยรายได้เมื่อเจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต
“ถ้าในกรณีที่จ่าย 70 รัฐบาลสมทบ 30 ก็จะได้ 3 เรื่องนี้ ถ้าเป็นกรณีที่จ่าย 100 รัฐบาลสมทบ 50 ก็จะได้สิทธิในเรื่องของบำเหน็จชราภาพด้วย” นายอภิสิทธิ์ กล่าว และว่า ได้มีการประสานงานเรียบร้อยกับคนที่กำลังทำกฎหมายกองทุนเงินออมแห่งชาติ ว่า การเข้ามาสู่ระบบประกันสังคมแบบใหม่ตรงนี้ ไม่ตัดสิทธิ์สำหรับประชาชนที่สนใจจะเข้าไปอยู่ในกองทุนเงินออมแห่งชาติ กำลังเปิดโอกาสให้มีระบบการออมและสวัสดิการทางเลือก สำหรับแรงงานนอกระบบทั้งหมด นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่กำลังจะทำให้ประชาชนจำนวนมาก สามารถเข้ามาสู่ระบบประกันสังคม มีหลักประกันความมั่นคงในชีวิต ซึ่งเป็นแนวทางของการที่จะพัฒนาไปสู่ระบบสวัสดิการของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ
เรื่องที่ 2 การเข้าถึงสินเชื่อของแท็กซี่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะมีการนำร่องในเรื่องของสินเชื่อเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งขณะนี้มีอยู่จำนวนมาก ต้องผ่อนรถหรือเช่ารถในอัตราที่แพง และกู้เงินมาดอกเบี้ยก็สูง มีภาระอย่างมาก สิ่งที่จะดำเนินการ คือเปิดโอกาสให้กลุ่มแท็กซี่มืออาชีพที่มีประสบการณ์มากกว่า 3 ปี สามารถเป็นเจ้าของรถแท็กซี่ใหม่โดยผ่อนเงินดาวน์ต่ำสุด 5 เปอร์เซ็นต์ ถ้ามีประสบการณ์มากกว่า 9 ปี และมีวงเงินสินเชื่อที่จะให้ตรงนี้ถึง 1,600 ล้านบาท และก็จะมีสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ที่ตามมาด้วย
“ตรงนี้จะเป็นการเปิดโอกาสให้แท็กซี่สามารถที่จะผ่อนรถได้ถูกกว่าเช่ารถ เป็นการลดภาระค่าใช้จ่าย และเปิดโอกาสให้แท็กซี่นั้นมีรายได้ดีขึ้น มีความมั่นคงมากขึ้นอย่างชัดเจน มาตรการนี้ให้กับคนที่มีประสบการณ์มาแล้ว เพราะไม่ต้องการที่จะไปจูงใจให้เพิ่มปริมาณแท็กซี่ ซึ่งจะเป็นการมาแข่งขันและก็ทำให้เกิดปัญหาในเรื่องของรายได้ด้วย” นายอภิสิทธิ์ กล่าว และว่า สำหรับผู้ค้าหาบเร่แผงลอย จะมีการนำร่องในเรื่องของหาบเร่ แผงลอย ในจุดผ่อนผันในกรุงเทพมหานคร สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ในอัตราที่มีความเป็นธรรม มีการผ่อนปรน โดยไม่เป็นภาระงบประมาณ เพราะว่าเป็นเรื่องของสถาบันการเงินของรัฐ เพราะได้คัดกลุ่มเป้าหมายซึ่งมีรายได้ชัดเจนอยู่แล้ว
เรื่องที่ 3 ผู้ประกอบอาชีพมอเตอร์ไซค์รับจ้าง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันมีปัญหา เพราะว่าหลังจากที่เคยมีการขึ้นทะเบียนกันไว้ ก็ปรากฏว่ามีจำนวนมากประกอบการอยู่ในลักษณะที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย นำมาสู่ปัญหาในเรื่องของการที่จะต้องมีการส่งเงินให้กลุ่มคนต่าง ๆ เป็นภาระอาจจะ 1,000 - 2,000 บาทต่อเดือน ขณะเดียวกันสภาวะแวดล้อมการทำงาน แม้กระทั่งภาพลักษณ์ของอาชีพก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อยู่เป็นระยะ ๆ
“ของขวัญชิ้นที่ 3 คือเรื่องของการที่จะให้มีการดำเนินการขึ้นทะเบียนเพื่อที่จะให้รถจักรยานยนต์รับจ้างนั้นถูกต้องตามกฎหมาย 100 เปอร์เซ็นต์ แล้วก็จะมีการจัดระบบ มีการออกบัตรประจำตัว ให้เลขในเรื่องของทะเบียน เลขเสื้อเสื้อวิน หมวกนิรภัย สอดคล้องต้องกันทั้งหมด และบัตรประจำตัวครั้งแรกตรงนี้ที่จะมีนั้นก็จะนำไปสู่การพัฒนาระบบสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์ต่อไปได้ในอนาคต”
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงการปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทำงาน ว่า จะมีการปรับปรุงวินให้มีที่พัก มีป้ายในเรื่องของราคามีความชัดเจน และนอกจากนั้นยังจะเชิญชวนให้มอเตอร์ไซค์รับจ้างนั้นมาทำหน้าที่เป็นอาสาพิทักษ์ดูแลชุมชน พร้อม ๆ กันไป ภาระงบประมาณตรงนี้แทบไม่มีเลย เพราะเป็นเรื่องของการบริหารจัดการต่าง ๆ ซึ่งจะทำได้ตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไป โดยจะเริ่มต้นที่กรุงเทพมหานคร
“เรื่องที่ 4 ผู้ค้าผู้ขายหาบเร่แผงลอย ใช้หลักการเดียวกันกับมอเตอร์ไซค์ ก็คือการที่จะมีการดูจุดผ่อนผันซึ่งมีการไปสำรวจแล้ว ก็คือว่าในหลายจุดนั้นที่จะมีการผ่อนผันเพิ่มเติมก็ต้องไม่ไปกระทบกระเทือนสร้างความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องประชาชนที่ใช้ทางเท้าสัญจรไปมาในบริเวณต่าง ๆ เหล่านั้น ก็จะทำให้อย่างน้อยมีประมาณ 20,000 รายที่มีการค้าการขายอยู่นี้สามารถทำได้แบบถูกต้องตามกฎหมาย ลดรายจ่ายนอกระบบได้อีกเช่นเดียวกัน”
ถัดมาเรื่องที่ 5 เป็นเรื่องของค่าครองชีพ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มาตรการที่ได้ข้อสรุปในครั้งนี้ จะเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2554 อย่างเต็มรูปแบบเป็นต้นไป คือจะเลิกการอุดหนุนเรื่องของ LPG สำหรับภาคอุตสาหกรรม หมายความว่าในส่วนของภาคอุตสาหกรรมนั้น ก็ควรจะได้ใช้ LPG ในราคาที่เป็นราคาตลาด แต่ในส่วนของภาคครัวเรือนภาคขนส่งนั้นเราจะตรึงราคา LPG ไว้เหมือนเดิม ขณะเดียวกันสำหรับบางอุตสาหกรรม ก็จะไปใช้เวลาจากช่วงนี้ไปจนถึงช่วงเดือนกรกฎาคม ในการไปดูแลช่วยเหลือให้อาจจะมีการปรับเปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงอื่น หรือปรับปรุงเทคโนโลยีในการผลิตเพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนกับอุตสาหกรรมเหล่านั้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตรงนี้สามารถประหยัดการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันได้ถึง 7,300 ล้านบาท ซึ่งหมายความว่าทำให้ฐานะของกองทุนน้ำมันดีขึ้น ซึ่งเมื่อฐานะของกองทุนน้ำมันดีขึ้นก็เท่ากับเรามีอาวุธในการไปต่อสู้เวลาที่ราคาน้ำมันแพง เหมือนกับที่ในปัจจุบันขณะนี้กองทุนน้ำมันก็ได้เข้ามาช่วยดูแลให้ประชาชนไม่ต้องซื้อดีเซลแพงกว่า 30 บาทไปจนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์
“เรื่องที่ 6 เป็นเรื่องของไฟฟ้า คือต่อไปนี้จะทำให้ไฟฟ้าสำหรับประชาชนที่ใช้ต่ำกว่า 90 หน่วย ฟรีเป็นแบบถาวร โดยจะไม่ใช้เงินภาษีอากรหรือไม่ใช้เงินงบประมาณ สิ่งที่เราจะทำก็คือไปปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียมของประเทศไทยที่ค่อนข้างอยู่ในแนวราบ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็จะทำให้ประชาชนคนยากคนจนสามารถใช้ไฟฟรีอย่างถาวร โดยไม่เป็นภาระกับงบประมาณหรือประชาชนที่เสียภาษีอากร”
ถัดมาเรื่องที่ 7 เป็นเรื่องของอาหาร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า จะให้เห็นผลตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2554 เป็นต้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือเรื่องของอาหารสัตว์ เรื่องของพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ ใช้แนวทางของการดูแลในเรื่องของการใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขันทางการค้า วิเคราะห์เจาะลึกลงไปถึงต้นทุนในส่วนต่าง ๆ ในองค์ประกอบต่าง ๆ แล้วก็จะทำให้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้น ตรงนี้จะสามารถทำให้ทั้งเกษตรกรที่เป็นผู้ประกอบการรายย่อยมีรายได้เพิ่มขึ้น แล้วก็นำมาสู่การลดต้นทุนและราคาของสินค้าเกษตรที่ประชาชนส่วนใหญ่บริโภค
“เรื่องที่ 8 จะเป็นเรื่องของอาหารเช่นเดียวกัน คือนอกเหนือจากไปดูในเรื่องของทางด้านต้นทุนแล้ว ก็จะมีการดูแลว่า ผู้บริโภคได้รับความเป็นธรรมและมีทางเลือกมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับต้นทุนราคาต่าง ๆ อาจจะมีการให้บริการไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์หรือมีสถานีโทรทัศน์ เพื่อให้ประชาชนที่เป็นผู้บริโภค ทั้งประเทศสามารถรับรู้รับทราบถึงการเคลื่อนไหวของราคาต้นทุนต่าง ๆ จะได้ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากการค้าขายในเรื่องของสินค้าอุปโภคบริโภค”
นอกจากนั้นในส่วนของไข่ไก่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็จะมีการทดลองในเรื่องของการที่จะให้มีทางเลือกของการที่จะซื้อขายกันเป็นกิโล ซึ่งจะเป็นการประหยัดต้นทุนในเรื่องของการคัดแยกไป อาจจะประหยัดได้ระหว่าง 5 - 10 สตางค์ เพื่อที่จะให้ประชาชนที่เป็นคนยากคนจนนั้นมีทางเลือกในการซื้อไข่แบบซื้อเป็นกิโล ซึ่งขณะนี้ก็จะมีการทดลองนำร่องที่มีนบุรี กับที่รังสิต
“สุดท้าย เรื่องที่ 9 เรื่องของปัญหาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ในเรื่องอาชญากรรม ประกาศเป็นเป้าหมายชัดเจน ว่า ภายใน 6 เดือนในกรุงเทพมหานคร เรื่องของคดีอาชญากรรมต่าง ๆ นั้นจะต้องลดลง 20 เปอร์เซ็นต์ เริ่มต้นตั้งแต่เดือนมกราคมนี้ ภายใน 6 เดือนจะลดให้ได้ 20 เปอร์เซ็นต์ แนวทางที่จะทำส่วนหนึ่งก็คือการได้ไปกำหนดจุดที่ถือว่าเป็นจุดเสี่ยงมากที่สุด เรียกว่า 200 กว่าจุด และในบริเวณเหล่านั้นจะมีการบูรณาการในเรื่องของระบบของกล้องวงจรปิด ใช้อาสาสมัครอีกหลายรูปแบบ เข้ามาช่วยกันทำงานในเรื่องนี้”
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า 9 เรื่องนี้ก็ถือว่าเป็น 9 ของขวัญ 9 ชิ้นที่สำคัญที่จะมอบให้ประชาชนภายใต้กระบวนการของการปฏิรูปประเทศไทย ซึ่งเป็นวาระเร่งด่วน แผนทั้งหมดก็จะได้มีการนำเสนอคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 11 มกราคมนี้ แล้วจะได้มีการตั้งคณะทำงานที่มาคอยติดตามเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า ของขวัญ 9 ชิ้นที่เป็นคำมั่นสัญญาในวันนี้ถึงมือประชาชนอย่างแน่นอน เพื่อความเท่าเทียมและความเข้มแข็งของประชาชนคนไทยและประเทศไทย