เมกกะโปรเจกต์กับฟื้นภาคเกษตร กก.ปฏิรูป จี้รัฐเลือกอะไรสำคัญกว่า
“เพิ่มศักดิ์” แนะรัฐทุ่มงบปฏิรูปที่ดินเกษตร สร้างแต้มต่อช่วงวิกฤตอาหารโลก หนุนจัดรูปประเทศบนพื้นฐานกสิกรรม ย้ำรัฐต้องเร่งพิจารณา อะไรสำคัญกว่า ยันช้าเกิน 10 ปี รับรองวิถีชาวไร่ ชาวนาดับสูญ
วันที่ 16 มีนาคม 2554 ที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ คณะกรรมการปฏิรูปได้จัดสัมมนาหัวข้อ “ร่วมสร้างนโยบายการปฏิรูปที่ดินเพื่อความเป็นธรรม” โดยมีชาวบ้านที่ถูกนายทุนและรัฐฟ้องร้องกว่า 200 คนจากหลายพื้นที่ทั่วประเทศร่วมงาน
ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ ประธานอนุกรรมการปฏิรูปที่ดิน ฐานทรัพยากร สิ่งแวดล้อมและน้ำ ในคณะกรรมการปฏิรูป กล่าวว่า คณะกรรมการปฏิรูปมุ่งหวังอยากสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำ จึงได้มีการรับฟังความคิดและประสบการณ์จากประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในพื้นที่ต่างๆ ทั้งภาคเหนือที่ อ.เวียงหนองล่อง จ.ลำพูน กรณีชาวบ้านถูกนายทุนฟ้องร้องเรื่องที่ดินกว่า 15,000 ไร่ รวมทั้งในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งมีชาวบ้านถูกฟ้องร้องจากเรื่องที่ดิน จากนั้นได้มีการนำเสนอต่อไปยังคณะกรรมการปฏิรูปชุดใหญ่ ซึ่งก็มีการแก้ไขถึง 7 ครั้ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การแก้ไขปัญหาดังกล่าวจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรับความเห็นจากผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง เพื่อวางยุทธวิธีในการปฏิรูปที่ดิน รวมทั้งสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำร่วมกัน
ขณะที่นายเพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ กรรมการปฏิรูป กล่าวถึงแนวคิดการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรของคณะกรรมการปฏิรูปว่า ย้อนกลับไปเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ตั้งแต่ประเทศไทยมีการเร่งรัดพัฒนาเศรษฐกิจ ยังพบว่า เกษตรกรไทยมีที่ดินทำกินกันถ้วนหน้า กระทั่งในปี พ.ศ.2547 กลับมีข้อมูลว่า เกษตรกรไร้ที่ดินทำกินจำนวน 8.8 แสนราย เกษตรกรมีที่ดินทำกินแต่ไม่เพียงพอจำนวน 5.1 แสนราย มีที่ดินแต่ไม่มีเอกสารสิทธิจำนวน 8 แสนราย ขณะเดียวกันพบว่า มีที่ดินรกร้างว่างเปล่าเป็นจำนวนถึง 48 ล้านไร่ ทั้งนี้เชื่อว่า หากไม่มีการแก้ไขหรือปฏิรูปในอีก 10 ข้างหน้าตัวเลขเหล่านี้จะเพิ่มขึ้น
“หลังปี พ.ศ.2540 พบว่า ที่ดินของเกษตรติดอยู่กับธนาคาร เป็นเอ็นพีแอลและเอ็นพีเอเกือบ 40 ล้านไร่ และในช่วงเวลาเดียวกันนั้นก็มีชาวต่างชาติเข้ามากว้านซื้อที่ดินเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเราปล่อยให้การซื้อขายที่ดินในตลาดเป็นไปอย่างเสรี ในทางตรงกันข้าม ที่ดินในภาคเกษตรกลับถดถอย มีหนี้สินรุงรัง และตลอดระยะเวลาเกือบ 30 ปีความมั่งคั่งในที่ดินเกษตรก็ตกต่ำอย่างมาก ทั้งนี้ ไม่ใช่เพราะว่า คนทำเกษตรล้าหลังหรือไม่ทันเทคโนโลยี แต่เนื่องจากในความเป็นจริงรายได้จากการเกษตรแปรรูป สร้างรายได้การส่งออกค่อนข้างมาก สังคมไทยจึงปล่อยให้ภาคเกษตรโดดเดี่ยว"
นายเพิ่มศักดิ์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของชาวบ้านเชียงรายได้รับข้อมูลว่า ขณะนี้ชาวบ้านต้องเช่าที่ดินทำกินถึงไร่ละ 2,500 บาท ซึ่งถือว่าสูงมาก ในสภาพที่รายได้ไม่มากนัก ยกตัวอย่างเช่น คนที่ปลูกข้าวโพดต้องลงทุนถึงไร่ละ 4,700 บาท ขณะที่ต้องแบกรับค่าเช่าที่ดินในราคาสูงดังกล่าว สิ่งเหล่านี้สะท้อนหัวอกของเกษตรกรที่ต้องแบกรับภาระต้นทุน
“การที่ภาคเกษตรถดถอยส่งผลโดยตรงต่อความมั่นคงของบ้านเมือง ซึ่งก่อนหน้าที่ประเทศญี่ปุ่นจะประสบวิกฤติสึนามิก็มีข้อมูลว่าราคาอาหารแพงขึ้นอยู่แล้ว และหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ราคาอาหารก็ยิ่งพุ่งขึ้น ดังนั้นคำทำนายจากองค์การอาหารและการเกษตรโลก (เอฟเอโอ) ที่ว่า 10-20 ปีข้างหน้าราคาอาหารจะสูงขึ้น 20 เท่านั้นคงเป็นความจริงเร็วๆ นี้ และนั่นถือเป็นโอกาสของประเทศไทย เนื่องจากเราเป็นเกษตรที่มั่งคั่งทางอาหาร ฉะนั้น เราต้องหันกลับมาทบทวนให้เกษตรกรมีที่ดินทำกินเพื่อให้พวกเขาเป็นที่พึ่งของประชากรโลก อีกทั้งเป็นการสร้างอนาคตของประเทศไทยบนฐานของการเกษตร
นายเพิ่มศักดิ์ กล่าวอีกว่า รัฐบาลจะต้องเร่งปฏิรูปที่ดินให้เร็วที่สุด เพื่อสร้างฐานการเกษตรของประเทศ ซึ่งจากการคำนวณพบว่า หากช้าเกิน 10 ปีภาคเกษตรกรรมของไทยจะหมดสิ้น ดังนั้น รัฐบาลควรพิจารณาว่าอะไรสำคัญกว่ากันระหว่างการเร่งสร้างเมกกะโปรเจกต์กับการฟื้นภาคเกษตร
“ผมอยากให้รัฐเลิกสร้างถนน 5 ปี เพื่อนำเงินมาทุ่มเรื่องกระจายที่ดินและการปฏิรูปการเกษตรด้วยกองทุนที่ดิน เพราะจะเป็นโอกาสของประเทศไทยในช่วงวิกฤตอาหาร ทั้งนี้ ในระยะเปลี่ยนผ่านดังกล่าว จำเป็นต้องลดความซ้ำซ้อนในหน่วยงานของรัฐ จัดตั้งหน่วยงานที่เป็นตัวประสานหลัก เพื่อให้งานปฏิรูปมีการบูรณาการและเปิดโอกาสให้ชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วม
กรรมการปฏิรูป กล่าวถึงข้อถกเถียงสำหรับแนวคิดการห้ามถือครองที่ดินเพื่อการเกษตรไม่เกิน 50 ไร่ ว่า เรานำประสบการณ์เรื่องการจำกัดการถือครองต่อครัวเรือนมาจากประเทศเกาหลีที่มีการห้ามถือครอง 18 ไร่ 3 งาน ไต้หวัน 9-72 ไร่ ญี่ปุ่น 6 ไร่เศษ ฟิลิปปินส์ไม่เกิน 31 ไร่ ส่วนลาวนั้น การจัดการขึ้นอยู่กับจำนวนแรงงานในครอบครัว โดยหนึ่งแรงงานจะมีสิทธิ์ถือครองที่ 6.25 ไร่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า แนวคิดเรื่องปฏิรูปที่ดินเกิดขึ้นมานานและมีปฏิบัติได้จริงแล้ว
“ส่วนประสบการณ์ในประเทศไทยนั้น เรามีประสบการณ์ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2518 ที่มีโครงการปฏิรูปที่ดินในนิคมสร้างตนเองไม่เกิน 50 ไร่ตัวครัวเรือน รวมทั้งมีการจัดให้หมู่บ้านป่าไม้ทำกินไม่เกิน15 ไร่ ต่อมาในปี พ.ศ.2528 ก็มีออกสิทธิให้ทำกินไม่เกิน 25 ไร่และมีจัดการที่ดินให้หมู่บ้านสหกรณ์ตามโครงการของรัฐทั่วไป ในสัดส่วนไม่เกิน 25 ไร่ เช่นกัน” นายเพิ่มศักดิ์ กล่าว และว่า จากการวิเคราะห์ประสบการณ์การจัดการที่ดิน ทั้งในและต่างประเทศ จึงเป็นที่มาของแนวคิดการกำจัดการถือครองที่ดินเพื่อการเกษตร 50 ไร่ ส่วนคนที่อยากถือครองมากกว่านั้น กรรมการปฏิรูปไม่ได้ห้าม แต่ก็ต้องจ่ายภาษีให้รัฐเพื่อนำเงินมาบำรุงประเทศ”
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยวา การเสวนาในหัวข้อ “ข้อคิดเห็นต่อข้อเสนอนโยบายการปฏิรูปที่ดินของคณะกรรมการปฏิรูป” ที่มีตัวแทนภาคประชาชนจากเครือข่ายปฏิรูปชุมชนและการเมือง ตัวแทนเครือข่ายที่ได้รับผลกระทบเหมืองแร่โรงไฟฟ้าเขตอุตสาหกรรม และตัวแทนเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก เข้าร่วมเสวนา ได้สะท้อนมุมมองที่หลากหลายเกี่ยวกับข้อเสนอกรรมการปฏิรูปของคณะกรรมการปฏิรูป
โดยตัวแทนภาคประชาชนส่วนใหญ่ยังมีความเป็นกังวลเรื่องอำนาจในการจัดการกระบวนการต่างๆ ให้เป็นรูปธรรม เนื่องจากที่ผ่านมาตัวแทนภาคประชาชนจากหลายภาคส่วนได้นำเสนอข้อคิดเห็นต่อภาครัฐไปแล้ว และถึงแม้ว่าจะได้รับการตอบรับในบางเรื่อง แต่สุดท้ายก็ไม่มีอำนาจในการจัดการอย่างแท้จริง
ส่วนข้อเสนอเรื่องการกระจายที่ดิน ตัวแทนภาคประชาชนเห็นว่า คณะกรรมการปฏิรูปควรกระตุ้นให้รัฐกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่น เพื่อให้คนในท้องถิ่นสามารถมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมของตนเอง
ขณะที่นายเหมราช ลบหนองบัว ตัวแทนเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทยภาคอีสาน กล่าวถึงการจัดการโฉนดชุมชนว่า หลังจากที่คณะกรรมการปฏิรูปนำเสนอนโยบายต่อรัฐอย่างเป็นทางการแล้ว เราจะใช้อำนาจอะไรในการปฏิรูป เราจะมีอำนาจเพียงพอในการปฏิรูปหรือไม่ และเราจะสร้างอำนาจในการปฏิรูปได้อย่างไร เพราะหากไม่คิดให้ดี ข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูปก็จะเป็นเพียงข้อเสนอที่รัฐรับไว้ แต่ไม่สานต่อ เพราะที่ผ่านมานโยบายเรื่องโฉนดชุมชนรัฐก็ดำเนินการไม่ชัด การใช้อำนาจของรัฐเป็นเพียงการประสานงาน รัฐไม่ได้ใช้อำนาจและดำเนินการที่แสดงถึงความมั่นคงให้กับชาวบ้าน ในรูปของกฎหมายอย่างแท้จริง