พระเทพฯ ดำริ พัฒนาอาชีพให้เด็กไร้สัญชาติ
ทรงย้ำ ครูเป็นกลไกสำคัญขับเคลื่อนการศึกษา เน้นส่งเสริมผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ด้านนักวิชาการจุฬาฯ ชี้ เด็กไทยเผชิญ 3 โรค กำพร้าเทียม-ศักดิ์ศรีบกพร่อง-สำลักเสรีภาพ” แนะทางออกอยู่ที่ครอบครัว-การศึกษา
เมื่อเร็วๆ นี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดการประชุมวิชาการเรื่องทางสู่โอกาสที่ดีกว่า เนื่องในโอกาสสามทศวรรษการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ทรงบรรยายเรื่อง “30 ปี การพัฒนาเด็กและเยาวชน:ร่วมกันสร้างโอกาสที่ดีกว่า” ว่า 40 ปีมาแล้ว ได้มีโอกาสตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถในถิ่นทุรกันดาร ได้บันทึกสภาพความเป็นอยู่ของประชาชน ทำให้รับรู้ถึงความจำเป็นและฐานะทางบ้าน ซึ่งภาพที่ติดในใจและไม่ได้เห็นอีกแล้วคือ คนขาดสารอาหาร พอจบจากมหาวิทยาลัยจึงมองว่าคงต้องหาวิธีแก้ไขตามอัตภาพ โดยให้ปลูกพืชผักผลไม้ และได้เริ่มโครงการเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีในปี 2523 โดยให้เด็กนักเรียนได้ปลูกพืชผักเป็นอาหารกลางวัน และขณะนี้ได้พยายามขยายผลต่อในโรงเรียนระดับชั้นมัธยม เพื่อส่งเสริมพัฒนาการเติบโตสู่วัยผู้ใหญ่
“สำหรับโครงการในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ได้มีการพัฒนาครูผู้สอนใน ตชด. และครูในชนบทห่างไกล โดยให้ครูผู้สอนเรียนต่อทางด้านวิทยาศาสตร์ หรือเรียนต่อปริญญาโท โดยเรียนผ่านระบบ VDO Conference เพื่อครูจะได้ไม่ต้องเดินทาง นอกจากนี้นักเรียนที่เรียนอยู่ในโรงเรียน ตชด. ที่มีใจอยากถ่ายทอดความรู้ให้กับรุ่นน้องก็สามารถเข้ามาเป็นครุทายาทได้ ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 167 คน ซึ่งจะช่วยเรื่องการศึกษาต่อไป ทั้งนี้ การพัฒนาคุณภาพชีวิต นอกจากจะทำให้เด็กมีความรู้ทางวิชาการแล้ว การพัฒนาด้านวิชาชีพยังเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะในเด็กที่ไร้สัญชาติเมื่อจบการศึกษาแล้วไม่ได้ใบประกาศนียบัตร จึงต้องมีการพัฒนาอาชีพให้มีงานทำ รวมถึงการให้ความช่วยเหลือเด็กในพื้นที่ชนบทห่างไกล เช่น กลุ่มไทโส้ จังหวัดสกลนคร และเด็กในอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ จนกระทั่งในปี 2543 ได้มีภาคเอกชนและยูเนสโกเข้ามาช่วยพัฒนา จนเกิดศูนย์ชุมชนแม่ฟ้าหลวงและโรงเรียน ตชด. โดยให้การศึกษาขั้นพื้นฐาน สอนหนังสือทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยจ้างคนในพื้นที่มาเป็นครูผู้ช่วย นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาครูผู้ช่วยดังกล่าวให้เรียนจบปริญญาตรี”
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ตรัสว่า ทุกคนคงรู้จัก Child Center หรือการศึกษาที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งในจังหวัดตากทาง กศน. สพฐ. และตชด. ได้ร่วมกันจัดการเรียนการสอนให้กับเด็กในพื้นที่ห่างไกล โดยเน้นที่ศักยภาพของเด็กว่า จะไปที่ไหนต่อได้ตามความสนใจ เช่น ศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา หรือเรียนทางสายอาชีวะ ซึ่งเรียกว่าเอาคนเป็นศูนย์กลาง มองคนทุกคนมีความหมายสำหรับรัฐ นอกจากนี้ยังมีโรงเรียนพระปริยัติธรรม ที่มีการสอนหนังสือภาษาไทยให้กับนักเรียน เนื่องจากพบว่า ยังมีเด็กที่จบ ป.6 แต่ยังอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ พระอาจารย์จึงสอนเด็กเหล่านั้นให้เป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ และมีความรู้ในด้านโภชนาที่ถูกสุขลักษณะ”
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ตรัสด้วยว่า สำหรับโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา ที่ในยุคสมัยใหม่ได้มีการสอนในหลักสูตรสายสามัญและมีการปรับปรุงให้เป็นระบบ ซึ่งพบว่า เด็กนักเรียนในพื้นที่ยังขาดสารอาหารอย่างรุนแรง จึงมีการจ้างเจ้าหน้าที่คอยติดตามและพยายามหาสื่อต่างๆ มาช่วยเสริมในภาวะที่นักเรียนขาดเรียนจากปัญหาความไม่สงบ รวมถึงการขยายงานต่อให้ครอบคลุมเด็กที่ยังขาดโอกาสให้มากขึ้น เช่น กลุ่มมอแกน มอแกลน อุรักลาโว้ย ที่ประสบภัยจากสึนามิ กลุ่มเมาบลี จังหวัดน่าน เด็กในกรุงเทพฯ อีกทั้งยังมีการพัฒนาการศึกษาพิเศษ โดยใช้สื่อและอุปกรณ์การเรียนการสอนเพื่อให้เด็กพิการได้พัฒนาการเรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพ
"การทำงานด้านการศึกษาครูถือเป็นกลไกที่สำคัญที่ต้องมีความเข้าใจ และต้องทำงานร่วมกับหลากหลายหน่วยงาน ทั้งกระทรวงเกษตรฯ ประมง และองค์กรปกครองท้องถิ่น เพราะเด็กและชุมชนถือเป็นหัวใจที่สำคัญ"
จากนั้น นายอมรวิชช์ นาครทรรพ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บรรยายในหัวข้อ “สถานการณ์เด็กและเยาวชนในประเทศไทย” ว่า โรคที่น่าเป็นห่วงสำหรับเด็กไทยในขณะนี้มี 3 โรคด้วยกันคือ 1.โรคความรักตีบตัน เนื่องจากขาดความรักจากที่บ้าน ปัจจุบันพบว่า เด็กไทยอยู่ในสภาพ ‘กำพร้าเทียม’ เนื่องจากภาวะทางเศรษฐกิจพ่อแม่ไม่มีเวลาดูแล โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานและคนทำงานในเมือง ซึ่งมีครอบครัวไม่ถึงร้อยละ 50 ทานข้าวเย็นด้วยกันเป็นประจำ ขณะที่เด็กวัยรุ่นไม่ถึงร้อยละ 30 เลือกปรึกษาปัญหากับพ่อแม่ ประการสำคัญ ปัญหาครอบครัวแตกแยก ส่งผลให้เด็กต้องออกมาหาความรักจากนอกบ้าน รวมไปถึงเพื่อนเพศตรงข้าม ซึ่งเสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์เร็วและปัญหาแม่วัยรุ่น
“2.โรคศักดิ์ศรีบกพร่อง ซึ่งเกิดจากการกดดันของพ่อแม่ ทำให้เด็กรู้สึกว่า ไม่ประสบความสำเร็จ ขาดการยอมรับ จึงต้องหาศักดิ์ศรี หรือการยอมรับแบบผิดๆ เช่น ตั้งแก๊งค์ซิ่ง แก๊งค์เที่ยว และ3.โรคสำลักเสรีภาพ ที่ถูกเลี้ยงดูแบบตามใจจากพ่อแม่ ทำให้เด็กขาดวินัย โดยเฉพาะเด็กที่ย้ายเข้ามาเรียนในเมือง และใช้ชีวิตอย่างอิสระ นอกจากนี้ยังพบปัญหาการศึกษาที่ไม่เท่าเทียมจากการกระจายโอกาสและความเจริญที่ไม่เท่าเทียมอีกด้วย”
นายอมรวิชช์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันมีโรงเรียนร้อยละ 30 ไม่ได้มาตรฐานตามการประเมินของกระทรวงศึกษาธิการ โดยส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนขนาดเล็กในชนบท และมีเด็กด้อยโอกาสนอกระบบการศึกษาถึง 2 ล้านคน ซึ่งเป็นเด็กในกลุ่มเสี่ยง นอกจากนี้ยังมีกลุ่มความต้องการพิเศษในระบบการศึกษา เช่น เด็กยากจนพิเศษ เด็กที่บกพร่องในการเรียนรู้ สมาธิสั้น ออทิสติกแบบไม่รุนแรง อีกประมาณ 5 ล้านคน ดังนั้น ทางออกสำหรับเด็กไทย จึงต้องเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวและระบบการศึกษา รวมทั้งต้องมีองค์กรสื่อที่สร้างสรรค์ และมีการจัดระเบียบพื้นที่ทางสังคม
ขณะที่นายควาง โจ คิม ผู้อำนวยการองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ สำนักงานประจำภูมิภาคด้านการศึกษา ภาคพื้นเอเชียและแปซิก (ยูเนสโก้) กล่าวว่า ผลกระทบจากวิกฤตโลก ส่งผลกระทบต่อการศึกษาของเด็กและเยาวชนไทยใน 4 ประเด็นดังนี้ 1.ต้นทุนการเรียนที่สูงขึ้นจนกระทั่งผู้เรียนไม่มีกำลังในการจ่าย 2.อัตราการหยุดเรียนของเด็กเยาวชนสูงขึ้น เนื่องจากต้องช่วยผู้ปกครองหารายได้เข้าครอบครัว 3.เด็กเยาวชนเสี่ยงที่ออกจากระบบการศึกษา เพื่อลดรายจ่ายของครอบครัว และเพิ่มรายได้จากการขายแรงงาน 4.เด็กเยาวชนมีโอกาสได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ
“นอกจากจะต้องปฏิรูประบบการศึกษาให้สอดคล้องกันแล้ว จะต้องสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาทักษะในการประกอบอาชีพ และเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้ทุกคนอย่างเท่าเทียม (Education For All) โดยรัฐบาลต้องให้การสนับสนุน ผ่านองค์กรหรือหน่วยงานต้นแบบ ซึ่งบทเรียนดังกล่าว จะเป็นตัวช่วยที่สร้างให้เกิดเครือข่ายการพัฒนา การศึกษาร่วมกันอย่างยั่งยืน”