นพ.นิรันดร์ ชี้ลดความไม่เป็นธรรมด้านสิ่งแวดล้อมได้ ต้องยกระดับสิทธิชุมชน
กรรมการสิทธิมนุษยชน ระบุ ให้ชุมชนต้องมีสิทธิในเรื่องของการร่วมพัฒนา ตรวจสอบ ถ่วงดุล และสิทธิในกระบวนการยุติธรรม โดยต้องมีการปฏิรูประบบตุลาการ ให้สอดคล้องกันด้วย
วันที่ 30 สิงหาคม 2554 สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดการประชุมวิชาการประจำปี 2554 เรื่อง "ความเป็นธรรมและความไม่เป็นธรรมในสังคมไทย ณ ห้องประชุมจุมภฎ-พันธุ์ทิพย์ อาคารประชาธิปก-รำไพพรรณี ชั้น 4 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวถึงความเป็นธรรมทางสังคมและสิ่งแวดล้อมว่า การพัฒนาเศรษฐกิจในปัจจุบัน เป็นการพัฒนาที่ถูกจองด้วยทุนข้ามชาติ และอำนาจรัฐ โดยแนวคิดกระบวนการทำงาน และแนวคิดในเชิงนโยบายถูกกำหนดโดยนักวิชาการจากส่วนกลาง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นแนวคิดในการทำลายฐานทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และทำลายการพัฒนาที่มั่นคงและยั่งยืน
“ฉะนั้นต้องมีการพัฒนาระบบประชาธิปไตยให้เกิดความสมดุล ระหว่างสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และการใช้อำนาจของรัฐ พร้อมทั้งต้องยกระดับสิทธิชุมชน ให้เป็นการต่อสู้เพื่อสิทธิในการใช้ประโยชน์เพื่อกิจการสาธารณะในเรื่องของฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่เป็นทั้งทุนชีวิต ทุนเศรษฐกิจ และทุนทางสังคมของภาคประชาชน”
นพ.นิรันดร์ กล่าวต่ออีกว่า สิ่งที่ต้องทำให้เกิดเป็นรูปธรรมในการยกระดับสิทธิชุมชน มีอยู่ 3 บริบท คือ 1.ชุมชนต้องมีสิทธิในเรื่องของการร่วมพัฒนา และสามารถใช้ประโยชน์สาธารณะและบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ที่ดิน ป่า น้ำและแร่ได้ 2.มีสิทธิในการตรวจสอบและถ่วงดุล โดยต้องทำให้องค์กรท้องถิ่นเข้าไปมีบทบาทในการควบคุมการก่อสร้างอาคารและควบคุมผลกระทบต่างๆ ได้ ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด 3.สิทธิในกระบวนการยุติธรรม โดยต้องมีการปฏิรูประบบตุลาการ ให้มีความครอบคลุมถึงเรื่องของสิทธิมนุษยชน เพื่อความเป็นธรรม
ด้าน ศ.สุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาฯ กล่าวว่า อุตสาหกรรมไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายของมนุษยชาติเสมอไป ถ้ามนุษยชาติมีการเรียนรู้ โดยต้องสร้างพื้นที่ในการวิพากย์ตนเอง ให้สามารถตระหนักและเรียนรู้ในสิ่งที่ผิดพลาดได้ เพราะบทเรียนสำคัญที่เรากำลังก่อให้มากขึ้นคือบทเรียนที่ทำให้เกิดผลกระทบกับชุมชนข้างเคียงหรือชุมชนเพื่อนบ้าน ซึ่งเราจะปิดหูปิดตาในเรื่องนี้ไม่ได้
“เราไม่ต้องการความรู้ แต่เราต้องการการเรียนรู้ร่วมกัน เรียนรู้ว่าเราจะไม่ทำแบบมาบตาพุดซ้ำอีก แต่ถ้าเราอยากจะมีอุตสาหกรรมจะสามารถทำได้หรือไม่ ทั้งนี้ต้องมีการสรุปปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดปัญหาที่ซ้ำซาก ทำให้เรายังคงอยู่ในบทเรียนที่ไม่ได้จำแนกแยกแยะ ทำให้เรารู้สึกว่าสังคมไทยมีแต่ด้านที่ย่ำแย่ ฉะนั้นต้องสร้างการเรียนรู้ให้เกิดเป็นความรู้ในเชิงบวก สร้างความรู้ในเชิงที่เป็นพลัง และสร้างความรู้ที่ให้สังคมได้มาตรการใหม่ร่วมกัน”